[รีวิวหนัง] "Gran Turismo" เซอร์วิสเกมกำลังดี พล็อตไม่มีอะไรใหม่ ฉากแข่งรถเร้าใจสุด
หลังจากที่ เพลย์สเตชัน โปรดักชันส์ (PlayStation Productions) ในเครือ PlayStation ของโซนี่ (Sony) ได้เริ่มต้นหยิบเอาเกม Exclusive ของตัวเองมาพัฒนาเป็นไลฟ์แอ็กชัน ตั้งแต่หนัง ‘Uncharted’ (2022) ที่ประสบความสำเร็จนิดหน่อย และซีรีส์ ‘The Last of Us’ ของ HBO ที่ยอดเยี่ยมจนได้เข้าชิงรางวัล Primetime Emmy Awards 5 รางวัล และปีนี้ก็ถึงคิวของเกมแข่งรถยนต์ซิมูเลชันขึ้นหิ้งของค่าย Polyphony Digital อย่าง ‘Gran Turismo’ ที่โด่งดังมาตั้งแต่ยุคเครื่อง PlayStation รุ่นแรก ปี 1997 โน่นเลย
หนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี 2008 ครับ เพราะตอนนั้น PlayStation จับมือกับ ดาเรน ค็อกซ์ (Darren Cox) อดีตผู้บริหารของ Nissan ทวีปยุโรป ร่วมกันทำรายการเรียลิตี ‘GT Academy’ เพื่อคัดเลือกเซียนเกม ‘Gran Turismo’ ไปฝีกและแข่งขันขับรถยนต์จริงแบบมืออาชีพ และหนึ่งในผลผลิตจากรายการนี้ก็คือ ยานน์ มาร์เดนโบโร (Jann Mardenborough) เซียนเกมชาวอังกฤษวัย 19 ปี ที่เอาชนะคู่แข่งกว่า 90,000 คนในปี 2011 ก้าวเข้าสู่การเป็นนักแข่งรถในสังกัดทีม Nissan ท่ามกลางเสียงครหาว่า ‘ไอ้เด็กเล่นเกมเนี่ยนะจะมาแข่งรถ’
จนในที่สุด ปี 2013 มาร์เดนโบโรก็สามารถพาตัวเองและทีม Nissan ไปถึงจุดสูงสุดด้วยการคว้าอันดับที่ 3 ในการแข่งขันเลอมังก์ 24 ชั่วโมง (24 Hours of Le Mans) ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดโคตรหินได้สำเร็จ ซึ่งพอมีเรื่องดราม่าครบรสไว้ในมือ มีหรือ Sony จะปล่อยเสียของ จริง ๆ โปรเจกต์นี้มีมาตั้งแต่ปี 2013 แล้วล่ะครับ แต่ก็ยืดเยื้อ จนกระทั่งมาถึงปีนี้ PlayStation Productions ก็เลยสานต่อ โดยได้ นีล บล็อมแคมป์ (Neill Blomkamp) ผู้กำกับสายแอ็กชันไซไฟจาก ‘District 9’ (2009), ‘Elysium’ (2013) และ ‘Chappie’ (2015) มารับหน้าที่กำกับ
หนังเริ่มเล่าจาก ยานน์ มาร์เดนโบโรห์ (อาร์ชี มาเดคเว – Archie Madekwe) วัยรุ่นครอบครัวชนชั้นแรงงานที่ชื่นชอบในรถยนต์ และชอบเล่นเกม ‘Gran Turismo’ เป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ สตีฟ มาร์เดนโบโรห์ (ไจมอน ฮอนซู – Djimon Hounsou) พ่อผู้เป็นอดีตนักฟุตบอล มองว่ายานน์เป็นเพียงเด็กติดเกมไร้สาระ จนกระทั่ง แดนนี มัวร์ (ออร์แลนโด บลูม – Orlando Bloom) จาก Nissan ได้ก่อตั้ง ‘GT Academy’ เพื่อคัดเลือกเซียนเกมไปแข่งขันรถมืออาชีพ โดยได้ แจ็ก ซอลเตอร์ (เดวิด ฮาร์เบอร์ – David Harbour) วิศวกรและอดีตนักแข่งรถมาเป็นเทรนเนอร์ ยานน์จึงต้องต่อสู้กับอุปสรรคและกระแสวิจารณ์เพื่อไปถึงความฝันอันสูงสุดให้ได้
ด้วยความที่ตัวหนังมีความเป็น ‘หนังจากเกม’ ที่ไม่มีสตอรีอะไรมาแต่เดิม ตัวหนังก็เลยเอารายละเอียด และ Easter Egg ฉวยเอากลิ่นอาย ลูกเล่นจากเกมบางอย่าง เช่น กราฟิก เสียง มุมกล้อง รวมทั้งกิมมิกการสร้างเกม จุดเด่นของเกมที่ได้ใช้ลิขสิทธิ์แบรนด์รถยนต์ชั้นนำ การอัปเกรดรถก่อนแข่ง การสอบใบขับขี่ ฯลฯ มาช่วยในการแต่งแต้มสีสันให้กับการเล่าเรื่องเส้นทางชีวิตของยานน์
ในขณะที่ตัวหนังเองก็เล่า ‘หนังที่สร้างจากเรื่องจริง’ ด้วยโครงสร้างการเล่าเรื่องที่มีความคล้ายกับกำลังผ่านด่านในโหมดต่าง ๆ ของเกม ตั้งแต่การเริ่มต้นอัปเลเวลด้วยการลงแข่งขันในสนามหลัก (GT Academy) ออกเดินทางไปแข่งขันในสนามนานาชาติเพื่อให้ได้ใบอนุญาต (ที่ทำเอาคนเล่นเกมหัวแทบไหม้) ก่อนลงแข่งในสนามใหญ่
อีกจุดที่ต้องชมว่ายอดเยี่ยมก็คือ แม้ตัวหนังจะเฉพาะทางระดับหนึ่ง แต่ตัวหนังกลับเล่าออกมาได้ดูง่ายนะครับ ใครที่ไม่ได้มีพื้นฐานเรื่องรถยนต์ ไม่คุ้นเคยกับการดูการแข่งขันรถยนต์ คุ้นเคยกับวงการมอเตอร์สปอร์ต หรือต่อให้ไม่เคยจับจอยเล่นเกมเลย ก็ดูได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ส่วนหนึ่งก็เพราะมีกราฟิกความเป็นเกมมาช่วยให้ดูง่ายเหมือนกำลังเล่นเกมเอง
ถ้าจะมีการบ้านก่อนดูหนัง ผู้เขียนอยากแนะนำว่า นอกจากจะลองหาเกมมาเล่นแล้ว ก็อาจจะหาข้อมูลประวัติของยานน์ รวมทั้งการแข่งเลอมังก์ 24 ชั่วโมง และสนามเนือร์บวร์คริง (Nürburgring) ที่เยอรมนีเพิ่มเติมด้วย ก็น่าจะช่วยให้อินได้มากขึ้นอีก
และสิ่งที่ยอดเยี่ยมของหนังก็คือ งานโปรดักชันที่ไม่อาจมองข้ามได้จริง ๆ ทั้งฉากการแข่งรถที่เร็วและแรงเหมือนลงไปแข่งในสนามเอง เบื้องหลังคือทีมงานต้องเอากล้อง Sony Venice 2 ไป Rig กับรถแข่ง แล้วใช้นักแข่งรถมืออาชีพมาเป็นสตันต์ ทำให้ได้ภาพการแข่งขันรถที่สมจริง แล้วตัวหนังเอา CGI ไปใช้เล่าในเชิงวิชวลแทน ทั้งการจำลองกราฟิกจากเกมมาใส่ในฉากแข่งรถ หรือการถ่ายทอดภาพความคิดของยานน์ให้ออกมาเป็นรูปธรรม ทั้งตอนแข่งเกม ที่ใช้วิชวลในการช่วยทำให้รู้สึกเสมือนว่ากำลังแข่งรถจริง ๆ ในทางกลับกันวิชวลก็เข้ามาทำให้ช็อตแข่งรถเหมือนกับว่ากำลังแข่งเกมอยู่ ทำให้การแข่งรถทุกฉากในหนังมีความตื่นตาตื่นใจ แปลกใหม่ ดูแล้วใจสั่น ลุ้นไม่ติดเก้าอี้
แม้งานโปรดักชันจะน่าประทับใจ และตัวหนังถือว่าทำออกมาได้สนุกและดูแบบเอาเพลิน ๆ ได้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวหนังก็คือบทที่ออกไปทางธรรมดา ซึ่งเกิดขึ้นได้กับบทที่ดัดแปลงจากเรื่องจริง แต่พอเป็นหนัง พล็อตที่ดัดแปลงมาแล้วก็ยังถือว่ามีความเป็นหนัง Underdog และปมดราม่าที่แม้จะชวนให้เราอินแต่มันก็ยังเป็นพล็อตที่เล่าเป็นเส้นตรง ดูแล้วเดาตอนจบ จุดพลิกผันของตัวละครได้แทบจะทันที
และพอบทมันธรรมดา คาแรกเตอร์ของตัวละครแต่ละตัวก็เลยออกมาค่อนข้างธรรมดาตามไปด้วย จริง ๆ ด้วยฝีมือของนักแสดงหลักเอง ก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดีพอสมควรนะครับ แต่ด้วยเพราะบท และการเล่าบางช่วงแบบโดด ๆ ข้าม ๆ รวมทั้งการตัดต่อบางจุด ก็มีส่วนทำให้การพัฒนามิติของคาแรกเตอร์ได้ออกมาธรรมดา และดูไม่ได้รู้สึกน่าจดจำเท่าไหร่
ทั้งตัวละครไอ้หนุ่มมุทะลุที่มีฝันยิ่งใหญ่ พ่อผู้คอยดับฝันลูกด้วยเหตุผลงี่เง่าของตัวเอง มือโปรที่เจอปมอดีตจนมีเหตุทำให้ต้องวางมือ หรือตัวละครนักธุรกิจที่จูงใจเก่ง หน้าเงินนิด ๆ มีความ เจอรี แม็กไกวร์ (Jerry Maguire) หน่อย ๆ ซึ่งพอมาอยู่ในบทที่ค่อนข้างธรรมดา มันก็เลยทำให้คาแรกเตอร์ออกมาแบนจนเดาทางได้หมดว่าใครจะรู้สึกและทำอะไรต่อ รวมทั้งไดอะล็อกออกมาแปร่ง ๆ ไม่ไหลลื่นด้วย
แม้จะไม่ได้ถึงกับเป็นหนังที่ทำออกมาได้ดีสมบูรณ์แบบ แต่ในแง่ภาพรวม ผู้เขียนมองว่าเป็นหนังของ PlayStation Production ที่ดีขึ้นมาอีกระดับนะครับ บทและคาแรกเตอร์อาจดูธรรมดาไปหน่อยสำหรับหนังในยุคนี้ แต่ก็ยังถือว่าเป็นหนังที่ดูได้เพลิน ๆ มีพล็อตดราม่าให้รู้สึกอินได้ไม่ยาก
เป็นหนังที่เซอร์วิสแฟนเกมแบบกำลังดี ไม่ได้ยัดเยียดจนทำให้คนไม่เล่นเกม และไม่ดูแข่งรถไม่อินและดูไม่รู้เรื่อง เป็นหนังที่เชื่อว่าทุกคน ทุกวัยน่าจะสามารถดูได้อย่างสนุกบันเทิง ด้วยโปรดักชันการแข่งรถที่ทำออกมาได้แรงสะใจ สัมผัสได้ถึงแรงเครื่องยนต์ จนอาจอยากหาเกม ‘Gran Turismo 7’ ใน PlayStation 5 มาเล่นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
เปิดรอบพิเศษ 24 – 30 สิงหาคม ฉายจริง 31 สิงหาคม เป็นต้นไป ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น