' ฉันแค่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง...แล้วตอบตัวเองในเรื่องที่ไม่เคยแน่ใจเกี่ยวกับเธอได้ ' ประโยคดังจากภาพยนตร์เรื่อง 500 Days of Summer แสดงถึงแนวคิดที่ว่าความรักไม่ตรงไปตรงมาและเข้าใจง่ายเสมอไป เราต้องใช้เวลาในการทบทวนความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อใครสักคน บางทีความรักก็มีวันหมดอายุ วันนี้รู้สึกใช่แต่ตื่นมาวันพรุ่งนี้ความรู้สึกก็อาจจะเปลี่ยนไป — ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพสะท้อนของความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก (Situationship) และความจริงที่ว่าความรักมักจะยุ่งเหยิงและซับซ้อน ต่างจากภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดีทั่วไปของฮอลลีวูด ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับความนิยมจากผู้คนและติดอันดับภาพยนตร์รอมคอมในใจของหลายคน แม้เวลาจะผ่านมาสิบปีแล้วก็ยังมีคนหยิบยกขึ้นมาพูดถึงหรือเขียนรีวิวเช่นเดียวกับบทความนี้500 Days of Summer (ซัมเมอร์ของฉัน 500 วัน ไม่ลืมเธอ) ภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอมเมดี-ดรามา ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของ มาร์ค เว็บบ์ — ซึ่งได้รับเสียงวิจารณ์ไปในทางบวก โดยนับว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในปี 2009 รวมถึงได้การเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 67 สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและนักแสดงชายยอดเยี่ยม การพูดถึงความสัมพันธ์ที่สมจริงและการเล่าเรื่องแบบไม่ลำดับเวลา ประกอบกับฝีมือการแสดงและเคมีที่เข้ากันได้ดีของโจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์และซูอีย์ เดสชาเนล ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นและเป็นที่จดจำทอม (กอร์ดอน-เลวิตต์) หนุ่มนักเขียนการ์ดอวยพรผู้ที่ฝันอยากจะเป็นสถาปนิก เขาเชื่อเรื่องพรมลิขิตและการมีอยู่ของรักแท้ โดยเชื่อว่าตัวเขาคงจะไม่มีความสุขหากยังไม่เจอคนที่ใช่ — เช้าวันธรรมดาของการทำงาน เขาได้พบกับ ซัมเมอร์ (ซูอีย์ เดสชาเนล) พนักงานคนใหม่ของบริษัทที่เขาทำงานอยู่ ทอมรู้ได้ทันทีว่ารักแรกพบเพียงสบตานั้นมีอยู่จริง และซัมเมอร์คือคนที่ใช่สำหรับเขา สามวันหลังจากนั้น ทั้งสองบังเอิญกันในลิฟท์และบทสนทนาสั้นๆระหว่างนั้นทำให้ทอมรู้ว่าซัมเมอร์มีรสนิยมการฟังเพลงที่ตรงกัน — 'ฉันชอบเดอะสมิทส์, ซัมเมอร์'ในงานสังสรรค์ของบริษัทที่บาร์แห่งหนึ่ง ทั้งคู่มีโอกาสได้นั่งคุยกันถึงความคิดเห็นในเรื่องความสัมพันธ์และความรัก จากชีวิตรักที่ล้มเลวของพ่อแม่ทำให้ซัมเมอร์ไม่เชื่อในความรักและพรมลิขิต เธอคิดว่าความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยุ่งเหยิง — แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาขึ้นจนเป็นมากกว่าเพื่อน ในระหว่างนี้มีเพียงทอมที่ถลำลึกในความสัมพันธ์และพยายามเรียกร้องสถานะ ซึ่งสร้างความอึดอัดให้กับซัมเมอร์ที่ขีดเส้นความสัมพันธ์นี้ไว้เพียงแค่เพื่อน ซึ่งนำมาสู่จุดจบของความสัมพันธ์ที่ไม่สวยงามมากนัก — 'เพื่อนกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอก เธอจูบกับเพื่อนในห้องถ่ายเอกสารหรอ เธอเดินจูงมือเพื่อนที่ไอเกียหรอ เธอมีอะไรกับเพื่อนในอ่างอาบน้ำหรอ, ทอม'ภาพยนตร์ถ่ายทอดผ่านมุมมองของทอม ผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังจากความสัมพันธ์ โดยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นใน 500 วันที่ทอมรู้จักซัมเมอร์ตั้งแต่วันแรก อย่างที่บอกไปว่า 500 Days of Summer นั้นมีจุดเด่นอยู่ที่การเล่าเรื่องแบบไม่เรียงลำดับ ไม่ได้เล่าเริ่มจากวันแรกไปจนถึงวันที่ห้าร้อย มีการตัดสลับไปมาระหว่างวันต่างๆใน 500 วันที่ทอมและซัมเมอร์มีความสัมพันธ์กัน ในระหว่างที่เรื่องราวกำลังดำเนินไปเราจะได้เห็นช่วงที่เริ่มตกหลุมรัก ช่วงที่ความรักกำลังเบ่งบาน ช่วงเวลาที่เริ่มมีความขัดแย้ง จนถึงจุดแตกหักของความสัมพันธ์ที่ทำให้ทอมนั้นสติแตกเพราะการหายไปของซัมเมอร์ นับเป็นช่วงเวลาที่ทอมต้องพยายามก้าวข้ามความผิดหวังและยอมรับความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่คนที่ใช่ของซัมเมอร์ หลังจากทอมได้เรียนรู้และเติบโตจากเรื่องราวในอดีต เขาได้พบกับผู้หญิงอีกคนที่มีชื่อว่าออทั่ม ซึ่งอาจเป็นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของทอม และภาพยนตร์ก็จบแบบปลายเปิด — การตั้งชื่อตัวละครออทั่มเป็นกิมมิคเล็กๆ ที่ส่วนตัวรู้สึกชอบเพราะฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) เป็นฤดูถัดจากฤดูร้อน (Summer) เหมือนเป็นการบอกนัยๆว่าเวลาเดินไปข้างหน้าและฤดูกาลผันผ่านเสมอ เราไม่ควรจมอยู่กับอดีต500 Days of Summer เป็นภาพยนตร์ที่เราชอบอีกเรื่องหนึ่ง ด้วยตัวบทที่ฉีกสูตรสำเร็จของหนังรอมคอม โดยสะท้อนความความสัมพันธ์ในแบบที่ต่างออกไป แสดงถึงความเจ็บปวดเวลาที่คุณรักใครและเขาไม่รักตอบ — เรียกสั้นๆว่า อกหักรักคุด นั่นแหละ — ไม่ใช่ทุกอย่างจะไปเป็นไปตามที่หวัง นอกจากนี้ยังพูดถึงความสำคัญของการเรียนรู้และการเติบโตท่ามกลางความเสียใจ โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่ามีความเป็นมนุษย์มากเรื่องนึง ด้วยการเขียนตัวละครที่ไม่สมบูรณ์แบบ หากแต่มีข้อบกพร่องเหมือนคนทั่วไป มีรัก โลภ โกรธ หลง ทั้งซัมเมอร์และทอม มีอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ แม้ต้องเผชิญกับความเสียใจ เราก็สามารถเติบโตและก้าวไปข้างหน้าได้สีฟ้าเป็นสีที่สงบและเย็น ทำให้เกิดความรู้สึกเงียบสงบและอิสระ — ซัมเมอร์เป็นผู้หญิงรักอิสระและไม่ต้องการถูกผูกมัดด้วยความสัมพันธ์ ตลอดทั้งเรื่องเราจะสังเกตเห็นว่ามีเพียงตัวละครซัมเมอร์เท่านั้นที่ใส่ชุดโทนน้ำเงิน-ฟ้า โดยโฮป ฮานาฟิน (คอสตูมดีไซเนอร์ของ 500 Days of Summer) เปิดเผยว่าผู้กำกับต้องการให้มีเพียงตัวละครซัมเมอร์ที่สวมใส่ชุดโทนสีน้ำเงิน-ฟ้า หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดผ่านมุมมองของทอม การใช้สีฟ้าเป็นสีประจำตัวของซัมเมอร์อาจสะท้อนถึงความเสียใจของทอม — ฉากที่ทอมดีใจและตื่นเต้นเพราะคิดว่าซัมเมอร์นั้นมีใจ เขาเต้นเพลง You Make My Dreams ในสวนสาธารณะ ซึ่งตัวละครทุกตัวที่มาร่วมเต้นกับเขาล้วนสวมใส่ชุดสีฟ้า เรื่องสีของชุดเป็นรายละเอียดเล็กๆที่ปรากฎอยู่ตลอด นับว่าเป็นอีกสิ่งที่ชอบเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แม้ว่าจะผ่านมานานนับสิบปีแล้ว เรื่องราวของทอมและซัมเมอร์ก็ยังถูกหยิบขึ้นมาพูดอยู่เสมอ ตลอดเวลาที่ผ่านมามีการแบ่งฝั่งของคนที่เห็นใจทอม กับ คนที่เข้าใจซัมเมอร์ หากเราดู 500 Days of Summer อีกรอบในช่วงอายุที่ต่างจากครั้งแรกมันอาจจะทำให้มุมมองที่เรามีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ต่างออกไป ในครั้งแรกเราอาจเห็นใจทอมและไม่เข้าใจซัมเมอร์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเติบโตมีอายุมากขึ้นพร้อมกับประสบการณ์ที่มากขึ้นตาม เราอาจจะเข้าใจซัมเมอร์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเรื่องราวที่แต่ละคนพบเจอมา หากใครที่ยังไม่เคยดู เราอยากแนะนำให้ดูสักครั้ง การเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ ภาพสะท้อนความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียก ตลอดจนตัวละครและเพลงประกอบที่น่าจดจำอาจทำให้คุณหลงรักภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนตัวยงของหนังแนวโรแมนติกคอมเมดีหรือไม่ก็ตาม — 500 Days of Summer ถือเป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การดูมากเรื่องนึง — หากคุณเคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว เราแนะนำให้คุณดูซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เผื่อว่าจะโอนเอนเปลี่ยนฝั่งและมองตัวละครเปลี่ยนไป :-) Credit :ภาพประกอบบทความFacebook, 500 Days of Summer : รูปภาพปกบทความ , รูปที่ 1 , รูปที่ 2 , รูปที่ 3 , รูปที่ 4 , รูปที่ 5 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !