รีเซต

ย้อนรอย "Spider-Man" ของ เจมส์ คาเมรอน หนึ่งในภาพยนตร์อันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยถูกสร้าง

ย้อนรอย "Spider-Man" ของ เจมส์ คาเมรอน หนึ่งในภาพยนตร์อันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยถูกสร้าง
แบไต๋
17 มกราคม 2566 ( 15:00 )
6.2K

ในชีวิตการทำงานของปู่เจมส์ แคเมรอน (James Cameron) เนี่ย มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ปู่แกปลุกปั้นขึ้นมามากมาย หลายเรื่องก็ไม่น่าจดจำ หลายเรื่องนั้นก็เป็นตำนาน แถมยังมีอีกหลายโปรเจกต์ที่ปู่แกเข้า เข้าไปคลุกคลีแต่ก็ไม่ได้สร้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Spider-Man ของแกเนี่ยแหละ และบทความนี้เราก็จะพาทุกคนมาแบไต๋ถึงโปรเจกต์นี้กันว่าเพราะอะไร Spider-Man ของปู่เจมส์ แคเมรอนถึงไม่เคยได้สร้าง แล้วทำไมปู่ถึงไม่หวนกลับมาทำหนังซูเปอร์ฮีโร่อีก

ย้อนกลับไปช่วงปี 80 จนถึงต้น 90 นับเป็นยุคมืดมนของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ หนังแนวนี้ถ้าไม่เจ๊ง ก็กลายสภาพเป็นหนังทุนต่ำจนผู้สร้างไม่กล้าเอาเข้าฉายโรง โดยในยุคนั้นมีหนังฮีโร่เพียง 2 เรื่องที่รอดมาได้นั่นก็คือ Superman ที่แสดงโดย คริสโตเฟอร์ รีฟ (Christopher Reeve) และ Batman ของ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) นั่นเอง

ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นยุคตกต่ำที่ Marvel เกือบจะล้มละลาย ผู้สร้างอย่าง สแตน ลี (Stan Lee) จึงจำใจขายลิขสิทธิ์ Spider-Man ให้ Cannon Film ไป และแม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลุกปั้น Spider-Man อยู่หลายปี แต่ท้ายที่สุด Cannon Film ก็ไม่สามารถสร้างหนังไอ้แมงมุมออกมาได้

จนแล้วจนรอด เวลาก็ล่วงเลยมาถึงปี ค.ศ 1991 ซึ่ง Cannon Film เกิดภาวะตกต่ำทางการเงิน และหากพวกเขาไม่ทำอะไรกับ Spider-Man ลิขสิทธิ์จะต้องกลับคืนไปหา Marvel ฟรี ๆ ดังนั้น ไหน ๆ ก็สร้างหนังไม่ได้แล้ว Cannon Film จึงขายลิขสิทธิ์ Spider-Man ให้ Carolco Pictures ที่ตอนนั้นกำลังขาขึ้นเพราะ Terminator 2: Judgment Day พอดี

ต่อมา Carolco Pictures จึงเสนอ Spider-Man ให้กับปู่แคเมรอนที่กำลังกลายเป็นลูกรักของสตูดิโออยู่พอดี ซึ่งตอนแรกปู่ก็ไม่รู้จักหรอกนะ แต่หลังจากลงลึกศึกษาคอมิกส์แล้ว ปู่ก็หลงรักไอ้แมงมุมเข้าอย่างจัง จนเริ่มพัฒนาการ Spider-Man เวอร์ชันแกขึ้นมา

บท Spider-Man ของแคเมรอน

แม้ปู่แคเมรอนจะลงมือพัฒนา Spider-Man อย่างจริงจัง แต่ปู่แกก็คิดว่า การดัดแปลงเป็นหนัง ไม่จำเป็นต้องตามคอมิกส์ทั้งหมด ซึ่งบทของปู่ก็ค่อนข้างแตกต่างจากไอ้แมงมุมที่เรารู้จักโดยสิ้นเชิง โดยเริ่มที่ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ วัย 17 ปี เป็นเด็กเนิร์ดไม่เข้าสังคมที่อาศัยอยู่กับลุงเบ็นและป้าเมย์ แม้จะฉลาดแต่เขาก็มักโดนบุลลี่โดยเพื่อนนักกีฬา และท้ายที่สุดก็ปีเตอร์ก็แอบรัก MJ ตามสูตรเดิม 

ซึ่งเวอร์ชันของปู่จะเริ่มมีการดัดแปลงตรงนี้แหละ โดยแมงมุมที่กัดปีเตอร์ ได้กินแมลงวันผลไม้ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม ก่อนที่มันจะมากัดปีเตอร์ นั่นทำให้หนังสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมพลังแมงมุมของปีเตอร์ถึงมีส่วนที่คล้ายแมลงวัน หลังจากโดนกัดปีเตอร์ก็ได้รับพลังมาตามสูตร แต่จะแตกต่างตรงที่ปีเตอร์จะฝันถึงแมลงต่าง ๆ และตื่นขึ้นมาอยู่บนตึกสูงโดยที่ไม่ใส่เสื้อผ้า 

เขาค้นพบว่าร่างกายของตัวเองถูกปกคลุมไปด้วยของเหลวสีขาว โดยฉบับของปู่แคเมรอนก็เป็นครั้งแรกที่ให้ปีเตอร์ปล่อยใยโดยไม่มีเครื่องยิงใย (ภายหลัง แซม ไรมี่ (Sam Raimi) ยืมแนวคิดนี้ไปใช้) ซึ่งปู่ก็อธิบายบทของเขาว่า การกำเนิดของพลังแมงมุมนั้นเปรียบเปรยกับ การเป็นวัยรุ่นแรกแย้มที่เด็กหนุ่มจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างน่าตกใจ 

ซึ่งหนังของปู่นั้นให้น้ำหนักตรงที่พลังของปีเตอร์มีสาเหตุมาจาก การกลายพันธ์ุเพราะโดนแมงมุมกัด หลังจากนั้นเรื่องราวก็เป็นอย่างที่เราคุ้นเคย ปีเตอร์เริ่มโหนใยไปตามตึก ลงท้ายด้วยลุงเบนถูกฆาตกรรม ทำให้ปีเตอร์หันเหชีวิตมาสู้กับอาชญากรด้วยพลังที่พึ่งค้นพบ โดยยังมี เจ. โจนาห์ เจมสัน นักข่าวทีวีออกมาตามด่าสไปเดอร์แมนอยู่เช่นเคย

แต่ไม่ได้มีแค่ตัวเอกหรอกนะที่กลายพันธ์ุ ทางฝั่งตัวร้ายก็จะเป็นลักษณะนี้เช่นกัน โดยมีบอสใหญ่คือนักการเมืองชื่อ คาร์ลตัน สแตรนด์ (ดัดแปลงมาจาก Electro ในคอมิกส์) โดยสแตรนด์นั้นบังเอิญรอดชีวิตมาจากการถูกฟ้าผ่า ทำให้เขาสามารถควบคุมไฟฟ้าได้ สแตรนด์ใช้อำนาจของเขาในการสร้างอาณาจักรเหล่าร้ายที่มีพลังพิเศษ และเขายังมีบอยด์ มือขวาที่มีความสามารถในการเปลี่ยนร่างเป็นทรายได้ (ดัดแปลงมาจาก Sandman ในคอมิกส์) มาคอยรับใช้อยู่ด้วย

อุปนิสัยของปีเตอร์ในฉบับนี้ หลังจากได้พลังนั้น เขาค่อนข้างหยาบคายและชอบใจที่ตัวเองมีพลังพิเศษ เขามีความสุขที่ได้ใช้ความรุนแรง ซึ่งเวอร์ชันนี้ MJ ก็ยังตกหลุมรักสไปเดอร์แมนโดยไม่รู้ว่าเป็นปีเตอร์ และสไปเดอร์แมนก็มีเพศสัมพันธ์กับ MJ บนสะพานบรูคลิน โดยที่ MJ หลับตาไว้

ฉากไคลแมกซ์สุดท้าย จะเกิดขึ้นบนยอดตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่ง MJ ก็ถูกจับตัวไปตามสูตร และสไปเดอร์แมนก็ต้องต่อสู้กับสแตรนด์บนยอดตึกนี้ และลงเอยด้วยการที่เขาจะเปิดเผยตัวจริงต่อ MJ

ถ้าบทนี้ได้สร้างออกมาจริง จะไม่โดนแฟนคอมิกส์ด่าเอาเหรอ?

ก็ต้องบอกก่อนว่า การดัดแปลงนี้ได้รับความเห็นชอบจากสแตน ลีแล้ว เพราะปู่แคเมรอนเดินทางไปพบสแตน ลีด้วยตัวเอง โดยปู่ลีถึงกับออกมาบอกว่า

“สิ่งที่จิมสร้าง ก็คือการทำสไปเดอร์แมนในแบบที่ควรจะเป็น ทั้งบุคลิกท่าทาง แม้จะเหมือนกันแต่ก็ดูสดใหม่ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน”

โดยช่วงต้นปี 90 ซึ่งเป็นยุคก่อนอินเทอร์เน็ตบูม เป็นช่วงเวลาที่ผู้สร้างภาพยนตร์สามารถดัดแปลงตัวละคร และที่มาของพวกเขาได้ค่อนข้างกว้างขวางกว่าสมัยนี้ เพราะแฟนคอมิกส์จะยังมีจำนวนไม่มากและพวกเขาก็ยังไม่ได้โมโหร้ายเท่าทุกวันนี้

โปรเจกต์เดินหน้าขนาดนี้ แต่ทำไมมันถึงไม่ได้สร้างกันนะ?

เป็นเวลาไม่นานหลังจากที่ปู่แคเมรอน เสร็จสิ้นภารกิจจากหนัง True Lies ซึ่งปู่ก็พร้อมจะหันไปจัดการ Spider-Man อย่างเต็มตัวแล้ว แต่ทว่า Carolco Pictures ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สไปดี้ในขณะนั้นก็ดันล้มละลาย ซึ่งเป็นผลจากหนังเรื่อง Cutthroat Island เจ๊งยับ แม้ว่า 20th Century Fox จะเสนอซื้อลิขสิทธิ์ Spider-Man แต่ Carolco ก็ไม่ยอมขายซักที แถมในเวลาเดียวกัน Marvel Comics ที่ติดขัดทางการเงินก็ได้ฟ้องเรียกสิทธิ์คืนโดยอ้างว่า Carolco ไม่สามารถสร้างหนังในกรอบเวลาที่ลิขสิทธิ์จะหมดอายุ เรียกได้ว่าลิขสิทธิ์สไปเดอร์แมนก็เริ่มยุ่งเหยิงมาตั้งแต่ตอนนั้นนั่นแหละ

โดยปู่เจมส์ แคเมรอนใช้เวลาหลายปีในการพยายามสร้างภาพยนตร์สไปเดอร์แมน เขาบากหน้าไปหาหลายสตูดิโอเพื่อให้ซื้อลิขสิทธิ์ไอ้แมงมุมมาทำ แต่หลายที่ก็ไม่กล้าซื้อเพราะปัญหาลิขสิทธิ์ยังเคลียร์ไปจบ

คอนเสปต์ของปู่ ที่ทำให้เราได้เห็นรายละเอียดของสไปเดอร์แมนมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าที่ข้อมือเขานั้นไม่มีเครื่องยิงใย

“มันจะเป็นภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุด”

แคเมรอนเห็นศักยภาพของ Spider-Man แต่ความพยายามในการพาไอ้แมงมุมขึ้นสู่จอเงินนั้นล้มเหลว ในที่สุดปู่ก็ต้องมูฟออนไปทำหนังเรื่องต่อไป และเข็ดกับการที่ต้องมายุ่มย่ามในการพยายามดัดแปลงงานลิขสิทธิ์ของผู้อื่น ในที่สุด 4 ปีต่อมา สงครามลิขสิทธิ์ก็จบลง และผู้ได้รับชัยชนะก็คือ Sony Pictures จวบจนถึงปัจจุบัน 

หลังจากกำกับ Titanic เสร็จเรียบร้อย ปู่เจมส์ แคเมรอนก็ไม่หวนกลับมายุ่งเกี่ยวกับสไปเดอร์แมนและหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกเลย ซึ่งหนึ่งในมรดกที่หลงเหลือของปู่ก็คือ สไปเดอร์แมนที่ยิงใยได้เอง ก็ได้ส่งต่อไปถึงแซม ไรมี่ และหนังสไปเดอร์แมนไตรภาคนั้นก็กลายเป็นตำนานอีกเรื่องหนึ่งของยุค

“ด้วยเวลาและแรงกายที่ผมใส่ลงไป มันไม่ควรเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของคนอื่น”

เจมส์ แคเมรอน

ที่มา: denofgeek, nofilmschool, screencrush, comicbook