รีเซต

เปลือยชีวิตที่แรก! เอิ้นขวัญ วรัญญา เพลงลูกทุ่งฮิตแต่คนไม่รู้จัก แถมยังหาว่าเลียนแบบ ตั๊กแตน ชลดา (มีคลิป)

เปลือยชีวิตที่แรก! เอิ้นขวัญ วรัญญา เพลงลูกทุ่งฮิตแต่คนไม่รู้จัก แถมยังหาว่าเลียนแบบ ตั๊กแตน ชลดา (มีคลิป)
MusicHot
5 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:30 )
437

ข่าวบันเทิงวันนี้ 

เอิ้นขวัญ วรัญญา นักร้องลูกทุ่งสาวเสียงดี ที่วันนี้จะมาเผยชีวิตวัยเด็กแสนลำบาก และเส้นทางกว่าจะเป็นศิลปิน 13 ปี สุดน้อยใจเพลงสุดปังแต่คนไม่รู้จักชื่อ พร้อมเคลียร์ Copy คาแรคเตอร์ศิลปินรุ่นพี่ “ตั๊กแตน ชลดา” พร้อมบอกเรื่องราวความรักกับแฟนหนุ่มนอกวงการที่คบหากันมากว่า 5 ในรายการ “คุยแซ่บSHOW” ที่มี ท็อป ดารณีนุช และ “ธัญญ่า” ธัญญาเรศ เป็นพิธีกร

 

ชีวิตวัยเด็กลำบากมาก?
คืออาจจะคล้ายใครหลายๆ คน ที่ครอบครัวยากจน ที่บ้านเป็นชาวนา เรามีต้นทุนที่ลำบากกว่าคนอื่น คุณพ่อคุณแม่ก็เลี้ยงดูมา เลยทำให้เราเป็นคนสู้ชีวิต

มีที่ดินกี่ไร่?
ณ ตอนนั้นไม่มีที่ดินเลย เราก็ต้องไปเช่าที่นา พอหมดฤดูเก็บเกี่ยวเราก็แบ่งข้าวกับเจ้าของที่ คือตอนนั้นเรามีข้าวกิน แต่เรื่องของกับข้าวถ้ามีตังค์ซื้อก็จะได้กินไก่บ้าง ได้กินไข่บ้าง ซึ่งคุณแม่จะซื้อน้ำตาลปี๊บและน้ำตาลทราย ไว้ที่บ้านอยู่แล้ว และเราในวัยเด็กจะชอบทานอะไรหวานๆ ถ้าพ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านเราก็จะทำกับข้าวกิน ก็กินกับปลาร้าบ้าง โรยน้ำตาลบ้าง

มีพี่น้องกี่คน?
มีน้องสาวคนหนึ่ง ห่างกัน 6 ปี ตอนเด็กๆ พ่อกับแม่ก็จะไปนา เราก็อยู่บ้าน เลิกโรงเรียนมาก็ดูแลน้อง และช่วยทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่เราช่วยได้ นอกจากนั้นตอนเด็กๆ เราก็ชอบไปเก็บขวดเอามาขายได้ตังค์ บางทีก็ได้ขนมถ้าเว้นจากวันทำนา แม่เขาจะมีสามล้อเครื่อง วันเสาร์ อาทิตย์ เราก็จะไปช่วยแม่ขายเสื้อผ้า ชุดชั้นใน กางเกงวอร์ม ถ้าเป็นช่วงที่น้องๆ เปิดเรียนก็จะไปขายอุปกรณ์การเรียนต่างๆ

ที่บ้านมีหนี้สินไหม?
ตั้งแต่เล็กเลย ก็จะมีเงินที่พ่อและแม่ไปกู้มาเพื่อส่งเราเรียนด้วย และนำไปทำนาต่างๆ ก็เลยทำให้มีหนี้สินอยู่ประมาณหนึ่ง คือเขาก็หามาเพื่อเลี้ยงดูเราให้ดีที่สุด

สมัยเด็ก เคยน้อยใจบ้างไหมว่าทำไมเราไม่เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย?
ก็เคยมีน้อยใจบ้างแต่โดยหลักๆ พ่อกับแม่จะทำความเข้าใจกับเราว่าโดยพื้นฐานเรามีประมาณนี้ เราต้องขยัน อดทนและก็ประหยัดช่วยกัน ก็เลยกลายเป็นว่าเราก็เข้าใจและรู้สึกว่าการที่เราได้ช่วยพ่อช่วยแม่นิดๆ หน่อย ๆ เราก็ลดภาระเขาได้แล้ว

 

มาร้องเพลงตอนไหน?
จำได้เลยว่าตั้งแต่เล็กๆ พ่อกับแม่จะชอบเปิดวิทยุให้ฟัง เหมือนเขาเห็นแววว่าเราชอบฟังเพลง เวลาเปิดเพลงช้าเพลงเศร้าเราก็ทำหน้าเศร้า มีครั้งหนึ่งที่ฟังเพลงอกหักแล้วก็มาเล่าให้แม่ฟังว่า ทำไมคนนี้ถึงบอกว่าไม่รักคนนี้ เหมือนเขาเห็นเราตีความหมายเพลงได้ เขาก็เลยเปิดเพลงให้ฟังบ่อยๆ ส่วนคุณพ่อคุณแม่เราก็ร้องได้ แต่ไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพ ท่านก็สอนเราได้

เริ่มประกวดร้องเพลงแล้วมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้จำฝังใจ?
คือตอนนั้นอยู่ประถม เราก็เป็นตัวแทนโรงเรียนไปประกวดตามงานวิชาการต่างๆ แล้วหลังจากนั้นก็มีพ่อครูแม่ครูพาไปออกงาน ที่เป็นงานอิเล็กโทนหารายได้เพิ่ม คือเราไปงานแรกเลย ช่วงนั้นสัก ป.5 ก็ได้ค่าตัว 50 บาทซึ่งเราดีใจมาก แต่เหมือนงานนั้นคนที่มาฟังเพลงเขาเมาแล้วตีกัน จนเลือดอาบ คือเราก็กลัวมาก แต่พอคิดว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราก็ต้องดูแลตัวเอง และวันนั้นเราก็มีผู้ใหญ่ดูแลอยู่ก็คิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะทำงานแบบเราได้ตังค์ มันก็เลยทำให้เราทำเรื่อยมา

เห็นว่าเคยเจอครูสลาแล้ววิ่งไปเสนอตัว?
(หัวเราะ) ตอนนั้นอายุประมาณ ม.1 คือครูสลาเขาไปจัดกิจกรรมที่นครพนม ส่วนเราไปเป็นตัวแทนโรงเรียน คือวันนั้นครูเขาอยู่บนโซฟาแล้วเราก็เห็นแล้วว่าคือครูสลา เป็นคนที่แต่งเพลงให้พี่ต่าย พี่ไผ่ พี่นาง พี่ไมค์ เราก็เลยรวบรวมความกล้า ที่มีอยู่ แล้วก็ไปสวัสดีครูสลา แนะนำว่าชื่อ ศรัญญา มหาวงษ์อหนูอยากน้องเพลงให้ครูฟัง ครูเขาก็ยิ้มแล้วก็ให้กำลังใจว่าให้ฝึกฝนต่อไปเรื่อย คือตอนนั้นเรารู้สึกว่า เรายังเด็ก และประสบการณ์เรายังน้อยอยู่ และเราก็ไม่ได้คิดว่าจะมีเหตุการณ์อะไรต่อไปเพราะเราอยากร้องเพลงให้ครูฟัง ตอนนั้นร้องเพลง แก้วรอพี่ เรียกว่าเป็นประสบการณ์ที่ได้เจอครุสลาเป็นครั้งแรกหลังจากนั้นเราก็กลับบ้านทำนา และร้องเพลงตามงานอิเล็กโทนเหมือนเดิม

แล้วมาเป็นนักร้องที่แกรมมี่ได้อย่างไร?
ตอนนั้นไปประกวดที่วัดโพธิ์ชัย คือไปประกวด 2 ปีซ้อนเลย แล้วเราได้แชมป์ทั้ง 2 ปี ซึ่งมีลูกศิษย์ของครูสลาเป็นคณะกรรมการ และเป็นช่วงที่ครูสลากำลังหานักร้องที่มาจากภาคอีสานเพื่อไปทำอัลบั้มรวม 5 คน แล้วเหมือนกรรมการเห็นแววเรา เขาบอกว่าหน่วยก้านดี สนใจอยากเป็นนักร้องไหม อยากเป็นลูกศิษย์ครูสลาไหม เราก็อัดเสียงส่งรูปไปให้ครูดู ซึ่งเราก็ไม่คิดว่าจะได้ หรือไม่ได้ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่เรจะได้เผชิญหน้ากับครูสลาก็เลยคิดว่าลองดูอีกสักตั้ง

กลัวจะถูกหลอกไหม?
ตอนนั้นก็กลัว แต่ตอนที่เราไปเราไปกับแม่ครู แล้วเหมือนผู้ใหญ่คุยกันก็เลยน่าเชื่อถือ ก็เลยอัดรูปและส่งเสียงไปก่อน พอได้เจอครูสลาอีกครั้ง เราก็เล่าว่าเคยร้องเพลงให้ครูฟัง ซึ่งครูจำไม่ได้ เพราะมันนานมากแล้ว ซึ่งเราก็ไม่เคยคิดฝันที่จะเข้ามาอยู่ที่แกรมมี่โกล์ด เพราะมันไกลเหลือเกิน ตอนที่เขาโทรมาให้เราไปเซ็นสัญญาเรายังทำนาอยู่เลย มันเป็นการพลิกชีวิตเรากลับมาในสิ่งที่เราไม่ได้คิดไว้ ก็ดีใจมาก และยิ่งใหญ่มาก จากวันนั้นมาเราก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเจออะไร เราก็ทำทุกอย่างให้เต็มที่

รู้สึกอย่างไรที่ร้องเพลงแรก “บ่กล้าบอกครู” ก็ดังเลย?
ก็รู้สึกดี เพราะเราฝึกเยอะมาก และได้รับคำแนะนำจากพี่ๆ คือจากที่ร้องเพลงธรรมดา ทีนี้เราต้องมาอยู่ในฐานะนักร้องจริงๆ อย่างที่บอกว่าเพลง “บ่กล้าบอกครู” เราไม่ได้คิดว่าจะโด่งดังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าคนจะฟังเพลงแบบไหน แต่เหมือนเพลงเราจะเป็นเพลงเร็วที่สุดในอัลบั้มแล้ว คือเป็นเพลงแนวใหม่ๆ มาก็เลยกลายเป็นว่าคนชอบ ถามว่าดังขนาดไหน ช่วงนั้นก็มีงานบ้าง แต่ด้วยความที่เราอยู่ ม.5 ม.6 อยู่ ก็ยังต้องเรียนและก็เจียดเวลาไปร้องเพลงบ้าง

เห็นว่าน้อยใจที่เพลงดัง แต่คนไม่รู้จักคนร้อง?
คือเวลาเราไปงานกับพี่ๆ แล้วไปยืนรวมกับพี่ๆ หลายคนก็จะมีคนทักว่า ใครอ่ะ ร้องเพลงอะไร พอเราบอกว่า “บ่กล้าบอกครู” เขาก็จะร้องอ๋อ ...เพลงนี้เพลงหนูเหรอ ก็จะมีฟีลประมาณนี้หน่อยๆ ซึ่งด้วยความที่เรายังเด็กเราก็จะแอบน้อยใจหน่อยๆ ว่าไม่รู้จักเราเหรอ หลังๆ เขาถามว่าชื่ออะไร เราก็จะบอกชื่อเพลงไปเลย (หัวเราะ) ตอนนั้นเรารู้สึกนอยด์ๆ เท่านั้น ไม่ถึงกับเสียใจฟูมฟาย เราแค่อยากให้คนรู้จักเราจำหน้าเราได้บ้างเท่านั้น

ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ว่าอย่างไรบ้าง?
คือที่บ้านหนูก็จะเหมือนเป็นเพื่อนกัน เขาก็จะแซวว่าเป็นนักรัองเหรอ แล้วก็ให้กำลังใจกันมากกว่า

เห็นว่าเคยงานขาดช่วงจนท้อ?
คือหลังจากที่ออกเพลง “บ่กล้าบอกครู” มาสักประมาณ 5-6 ปีได้ ถึงจะได้มีซิงเกิ้ลต่อมา ด้วยความที่เราอาจจะรอนานไปสักนิด และเรารู้สึกว่าเมื่อไหร่จะได้ทำเพลง และช่วยงาน เบื้องหลังมา เราก็รู้สึกอยากมีเพลงเพิ่มอีก ตอนนั้นก็รู้สึกท้อไม่อยากไปต่อแล้ว เราก็ตัดสินใจโทรหาคุณแม่บอกว่าเหนื่อยแล้ว อยากกลับบ้านแล้ว แม่ก็บอกว่า ให้อดทนก่อน รอบแรกผ่านไป รอบที่ 2 เราก็โทรไปหาแม่อีก แม่ก็บอกว่าให้อดทนก่อน พอมาถึงรอบที่สามแม่ก็บอกว่าไม่ต้องทนแล้ว ให้ทิ้งทุกอย่าง แล้วกลับมาอยู่บ้านเราก็ได้ มีข้าวกิน มีนาให้ทำ คือตอนนั้นยังไม่มีที่นาเป็นของตัวเอง คือพอแม่บอกให้เรากลับบ้านปุ๊บ กลายเป็นว่าเราไม่อยากกลับแล้ว เพราะเรารู้สึกว่าเราจะยอมแพ้ไม่ได้ ก็เลยสู้และให้กำลังใจตัวเองมาจนถึงวันนี้

 

พอมีเพลงใหม่ก็โดนเปรียบเทียบกับ “ตั๊กแตน ชลลดา” ?
บอกเลยว่าพี่แตนเป็นแบบอย่างของหนู เพราะตั้งแต่ประกวดหนูก็น้องเพลงพี่แตนตั้งแต่เพลง “หนาวแสงนีออน” คือเราเป็นแฟนคลับพี่เขาก่อนที่เราจะเป็นนักร้องเสียอีก โดยส่วนตัว เวลาที่เราฝากผลงาน เราก็อยากให้ทุกคนช่วยมาคอมเม้นต์ว่าเพลงดีไหม แต่งตัวโอเคไหม แต่หลายครั้งที่เราเห็นว่าคอมเม้นท์ที่มาจะเป็นทำนอง คล้ายคนนี้จัง เหมือนคนนั้นจัง เหมือนเขาเปรียบเทียบเรากับคนนั้นคนนี้ อย่างของพี่แตนคือถ้าหนูร้องเพลงได้ครึ่งหนึ่งของพี่เขาก็จะดีใจสุด เพราะพี่แตนเป็นคนที่เสียงดีและมีความสามารถมากๆ แต่ในลักษณะเปรียบเทียบมากกว่าติชม เราก็อยากจะให้โฟกัสเรื่องผลงานมากกว่า ช่วยกันติชม จะได้พัฒนางานเพลงให้ดียิ่งขึ้นไป แต่พอโดนหลายปีเราก็จะนอยด์ๆ ล่าสุดก็มีไลฟ์ไปว่าอยากให้โฟกัสที่งาน เพราะบางทีก็จะมีคนดึงดราม่า แล้วแฟนๆ 2 ฝั่งก็เถียงกันเอง เราก็รู้สึกว่าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

โดนเปรียบเทียบมานานหรือยัง?
เป็นมานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาเลย อาจจะบุคคลิก หน้าตาและโทนเสียงอาจจะคล้ายกัน แต่ว่าเราก็ทำออกมาให้เป็นแบบของเรา กับคอมเม้นท์ที่ว่าเราไปก๊อปปี้ตั๊กแตน คือเรากลัวเขาคิดว่าเราพยายามที่จะเป็นพี่แตนหรือเปล่า ซึ่งเราอยากจะบอกว่า เราไม่ได้พยายามที่จะเป็นใครหรือเลียนแบบใคร เราก็เป็นตัวของตัวเอง และอยากให้ทุกคนโฟกัสที่ผลงาน

เคยเจอ ตั๊กแตน ชลลดา ไหม?
เคย แต่เราไม่เคยคุยเรื่องนี้ เพราะช่วงเวลาเราไม่ตรงกัน ไม่ค่อยได้เจอกันอยู่แล้ว แต่เขาก็จะเป็นรุ่นพี่ เพราะเมื่อก่อนเขาก็อยู่ที่แกรมมี่โกลด์ แต่เราก็ไม่ได้สนิทกันมาก คือส่วนใหญ่เราก็จะถามเรื่องประสบการณ์การทำงานหน้าเวทีของเขามากกว่า

อยากบอกอะไรกับคนที่หาว่าเราก๊อบบ้าง?
ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากจะบอกว่าเราก็เป็นตัวของเราเอง และเรารู้สึกว่า การร้อง การเอนเตอร์เทนมันมาจากอินเนอร์ของเราเอง เราไมได้พยายามจะเป็นใคร ก็อยากให้ทุกคนชื่นชอบในแบบที่เราเป็น และช่วยกันติชมผลงานเข้ามาเยอะเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เอิ้นขวัญพัฒนา ได้เยอะขึ้น และจะได้มอบความสุขทางด้านเสียงเพลงให้ฟังกันได้ตลอด

ตอนนี้ไม่โสดแล้วใช่ไหม?
ไม่โสดมา 4-5 ปีแล้ว จริงๆ ไม่ได้ปิดแต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้พูด คือเป็นเพื่อนในกลุ่มเพื่อนมหาลัยฯ เขาเป็นคนเงียบๆ ก็เหมือนมองกันอยู่ไกลๆ เราก็คุยกับกลุ่มเพื่อนสนุกๆ เพราะเราเป็นสายเอนเตอร์เทนในกลุ่มอยู่แล้ว ไปไหนไปกัน เวลาทำงานก็อาจจเกร็งๆ แต่พอหลังทำงานก็จะเต็มที่เฮอากับเพื่อนๆ คือเขาก็เคยบอกเราเหมือนกันว่าเขารู้ว่าเราเป็นนักร้องแต่เขาไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ว่าชื่ออะไร ร้องเพลงอะไร

ใครจีบใครก่อน?
เหมือนแอดไลน์ในกลุ่ม แล้วคุยกันในกลุ่ม ที่ผ่านมาถ้าเราชอบใครเราก็จะจีบก่อน ถามว่าชอบอะไรในตัวเขา คือเขาเป็นคนเงียบๆ ในขณะที่เราเป็นคนพูดเยอะ เขาเป็นคนสบาย ๆ และเข้ากับเรา น้องเรา ได้ชิลๆ และเขาก็เป็นคนที่คอยรับฟังเราค่อนข้างเยอะเพราะเราก็เจออะไรมาเยอะเหมือนกัน

เห็นว่าเคยเลิกกันด้วย?
มี คือช่วงนั้นเหมือนมีหลายอย่างในชีวิตเข้ามาแล้วทำให้เราไม่เข้าใจกัน มันเป็นช่วงที่เราต้องทำงานของเราด้วย และเป็นช่วงที่ชีวิตเขากำลังพลิกผัน เหมือนไม่ค่อยมีเวลา ทำให้คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เราก็คิดเองว่าถ้าไม่โอเคก็แยก ตอนนั้นก็เลยจบกัน ไป ถามว่าแยกกันไปนานไหม ก็เกือบปีเหมือนกัน ตอนนั้นก็พยายามคุยกับคนอื่น แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ ส่วนเขาก็ไม่ได้หาคนอื่น เขาบอกว่าถ้าไม่ใช่เราแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะคบกับใครได้ไหม ตอนที่เลิกกันไป เขาก็ดูเราอยู่ห่างๆ เขาดูเราอยู่ตลอด

อะไรที่ทำให้กลับมา?
มันเป็นความผูกพันธ์เหมือนหลายๆ คู่ คือมันตัดกันไม่ชาด ด้วยความที่เราเลิกกันไม่ใช่ว่า มีคนอื่นหรือมีมือที่ 3 แต่เป็นความไม่เข้าใจ ณ ตอนนั้นมากกว่า มันก็เลยทำให้ ความคิดถึงยังมีอยู่ ก็คิดว่าถ้ามีโอกาสกลับมาอีกสักครั้งเราก็จะทำให้มันดีที่สุด ก็เลยได้กลับมาก

แล้วใครเป็นคนขอคืนดีก่อน?
(ชี้ตัวเอง) คือเมื่อก่อนเราเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองมาก พอเราไปคิดๆ ดูแล้ว ก็รู้สึกว่าถ้าลองคบกันอีกครั้งแล้วมันไม่โอเคค่อยว่ากัน

ฝากเพลงหน่อย?
ก็ขอฝากเพลงใหม่ เพลงสนุกๆ โสดศรีมณีแสง ให้กับแฟนเพลงทุกๆ ท่าน ก็เป็นกำลังใจให้กันอีกสักหนึ่งงานเพลง ผู้ใดอยากได้เพลงมาจีบผู้บ่าวก็เอาเพลงนี้ไปได้ โสดศรีมณีแสง

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.30-14.30 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama