Guillermo del Toro’s Cabinet of Curiosities : กีเยร์โม เดล โตโร : ตู้ลับสุดหลอน เมื่อพูดถึง กีเยร์โม เดล โตโร ต้องบอกเลยว่าเป็นชายที่น่าจะเป็นอีกคนที่หลงใหลในเรื่องของสิ่งลึกรับมากๆคนหนึ่งของวงการภาพยนตร์ การสร้างเรื่องราวและเหล่าสัตว์ประหลาดมันจะได้เห็นในงานของเขาอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Hell Boy / Pans Labyrinth / Crimson Peak / หรือหากใครเป็นสายแอนิเมชันก็จะคุ้นหูคุ้นตากับเรื่อง Troll Hunters หรือภาพยนตร์เงือกสุดหลอนอย่าง The shape of water และแอนิเมชันล่าสุดอย่าง Pinocchio ผู้เขียนชื่อเสนอว่าหากใครเป็นสายภาพยนตร์สยองขวัญซีรีส์ชุดนี้ไม่ควรพลาดอย่างแน่นอน เพราะว่าจะฉีกทุกอย่างเพื่อนำเราเหล่าคนดูเข้าสู่ความสยองขวัญแบบขั้นสุด ซีรีส์จบในตอนทิ้งปมปลายเปิด แบบที่เราเหล่าคนดูคุ้นเคยอย่าง Black Mirror หรือที่ต็าซๆก็น่าจะเป็น Love death + Robots ผู้เขียนอาจจะเป็นคนที่ชื่นชอบการสร้างภาพยนตร์จากเรื่องสั้นนี้ก็เป็นได้ และตัวผู้กำกับเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนอยากดูมากขึ้นไปอีก บอกได้คำเดียวเลยว่า 8 ตอนหลอนติดตาแน่นอนLot 36 : ตู้หมายเลข 36เล่าย่อๆ : เรื่องราวมันเริ่มขึ้นเมื่อ นิค (รับบทโดย ทิม เบลก เนลสัน) ได้เข้าประมูลตู้เก็บของตู้หนึ่ง ในนั้นมีของเก่าแก่มากมายเขาได้เริ่มสำรวจของที่พอจะสามารถ สร้างเม็ดเงินให้กับเข้าได้ และแล้วเขาก็ได้พบเข้ากับโต๊ะเล็กๆโต๊ะหนึ่ง เมื่อเขานำมาประมูลก็พอได้ทันทีเลยว่า โต๊ะนี้มีที่ไปที่มาอย่างไรแต่แล้วเรื่องราวความวินาศสันตะโรก็ค่อยๆเกิดขึ้นมารีวิวเล็กๆ : นับว่าเป็นเรื่องราวที่ชวดขนหัวลุกได้เห็นอย่างดีเลยทีเดียวสำหรับเรื่องราวนี้ ที่ได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง กิลเลอร์โม นาวาร์โร (Guillermo Navarro) นับว่าเป็นผู้กำกับคู่บุญของ กีเยร์โม เดล โตโร ที่เคยฝากผลงานเอ้ไว้แล้วมากมายมาว่าจะเป็น Hannibal 2013-2015, Narcos 2015 ที่จะพาเหล่าเหล่าคนดูไปสำรวจตู้เก็บของสุดหลอน นับว่าเป็นตอนที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยสำหรับซีรีส์ตอนนี้ที่มีความยาว 46 นาที 18 วินาที ตอนที่ไม่ถึงชั่วโมงแต่ใส่เรื่องราวและรายละเอียดได้ครบมากๆเรื่องหนึ่ง การเล่าเรื่องที่ต้องบอกว่าเดาทางได้ยากพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ถนัดตาคงจะหนีไม่พ้นความหมายที่เป็นอะไรที่เข้าถึงและตีแต่สังคมได้อย่างน่าประทับใจ งานดายสี เป็นซีรีส์ที่ชวนอึดอัดมากๆอีกเรื่องเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ ผู้เขียนมักจะบอกเสมอว่าเหมือนภาพที่มีกลิ่น เพราะดูแล้วอับชื้นยังไงชอบกล ด้านงาน CGI ต้องบอกเลยว่าทำออกมาได้ดีมากๆ เป็น CGI ที่เยี่ยมมากกว่าทุกตอนเลยก็ว่าได้ ตอนจบแอบสะใจอยู่นิดๆอยากให้ได้ดูกันGraveyard Rats : หนูในสุสานเล่าย่อๆ : เรื่องราวของแมสสัน (รับบทโดย เดวิด ฮิวเลตต์) ชายเฝ้าสุสานผู้ติดหนี้ จนกลายเป็นคนหลักลอบขุดศพหรือที่เรียกว่าโจรปล้นสุสาน แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อมีศพของชายผู้ลากมากดี คนหนึ่งเข้ามาเขาในหน้าที่คนเฝ้าสุสานและเป็นคนฝั่งศพในสุสาน จึงอดใจไม่ไหวที่จะปล้นศพนี้ แต่เรื่องราวก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาตั้งใจ เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งนั้นได้นำศพชายคนนั้นไป ทำให้เขาต้องตามไปปล้นและความวุ้นวายก็มาถึงตัวเขาจนได้รีวิวเล็กๆ : เป็นพล็อตที่น่าสนใจอีกเรื่องเลยก็ว่าได้สำหรับเรื่องนี้ ที่ได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง วินเซนโซ นาตาลี (Vincenzo Natali) ผู้ที่ฝากผลงานสุดสยองขวัญมาแล้วอย่าง In The Tall Grass / Cube และ Splice เป็นซีรีส์สยองขวัญที่เล่าเรื่องราวได้น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบทที่ดูจะติดตลกอยู่บ้างเล็กน้อย หรือแม้แต่เรื่องราวของงานแสดงที่ทำให้เห็นตับบทได้เด่นชัดขึ้น ตลอดความยาวของทั้งเรื่อง 38 นาที 21 วินาที เป็นซีรีส์ที่มีครบทุกรสเลยก็ว่าได้ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะมาขายขำมากกว่าขายความหลอน เพราะว่าซีรีส์ไม่ได้ให้เราเหล่าคนดูโฟกัสที่ส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นพิเศษ สัตว์ประหลาด หรือ ปีศาจใต้ดินกันแน่ แต่คนที่ไม่ชอบหนูอย่างผู้เขียนที่ต้องบอกว่า ผู้สร้างน่าจะเล่นกับเราเหล่าคนดูคือ ใช้จำนวนเข้าว่าและมันได้ผลเพราะมันไม่ได้มาตัวเดียวเพราะมากกันเป็นฝูงเลยก็ว่าได้ แต่ที่น่าสนใจคือการเอาตัวรอดของตัวละครมันทำออกมาได้ฮาน่าลุ้นดี เป็นอีกเรื่องที่น่าดูแบบสุดๆเลยก็ว่าได้ สำหรับคนที่กลัวว่าจะมี jump scar มากไปเรื่องนี้ดูได้เพลินๆ The Autopsy : ชันสูตรศพเล่าย่อๆ : เรื่องราวสุดลึกลับเมื่อคนในเมืองค่อยๆหายตัวไปที่ละคนสองคน ดร. คาร์ล วินเทอร์ (รับบทโดยเอฟ. เมอร์รีย์ เอบราฮัม) ได้เดินทางมาถึงเมืองนี้ และพบกับเพื่อนเก่าที่เป็นนายอำเภอ เมื่อนายอำเภอเริ่มเล่าเรื่องราวและรูปคดีทั้งหมดให้เพื่อฟัง เขาจึงได้นำตัว ดร. คาร์ล วินเทอร์ มาที่ห้องชันสูตรศพ เพื่อหาความจริง แต่แล้วเรื่องราวความวายป่วงก็เกิดขึ้นรีวิวเล็กๆ : ตอนที่ผู้เขียนนั่งดูคิดอยู่ในใจแล้วว่าถ้าไม่มีสัตว์ประหลาดจากนอกโลก ซีรีส์สยองขวัญไม่ครบสูตรแน่ๆ และแล้วเรื่องนี้ก็ว่าและเป็นแนวที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดอีกเรื่องเลยก็ว่าได้ การนำเสนอเรื่องราวเป็นไปตามสูตรสำเร็จของเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์สยองขวัญ ใส่ปมเรื่องราวของตัวละครที่ไปที่มาของสิ่งที่ค้นหา และสรุปปมนั้นได้อย่างน่าสนใจ เรื่องนี้ได้ผู้กำกับอย่าง เดวิด ไพรเออร์ (David Prior) ที่เคยฝากฝีมือเอาไว้แล้วอย่าง The Empty Man ร่วมกำกับกับ เดวิด เอส กอยเยอร์ ผู้เขียนบทมือดีอย่าง The Dark knight นำเสนอเรื่องราวของ ไมเคิล เช จากปลายปากกาสู่ซีรีส์น้ำดี ที่มีความยาวเรื่องแค่ 58 นาที 35 วินาที ต้องยกนิ้วให้ผู้เขียนบอกตรงๆเลยว่า เรื่องนี้คือเด็ดมากๆของเรื่องเลยก็ว่าได้ ทั่งการเสนอบทที่ทรงพลังรวมไปจนถึง นักแสดงที่น่าสนใจแบบสุดๆตรงคาแรกเตอร์ และที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือ jump scar ที่มีความน่าสนในและไม่ได้ใส่มาสุมสี่สุมห้า และกลายเป็นว่าเพิ่มความหลอนได้อย่างสวยงามThe Outside : รูปลักษณ์ภายนอกเล่าย่อๆ : เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ สเตซี่ (รับบทโดย เคท มิคุชชี) พนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง ที่ไม่ค่อยมีใครสนใจเธอส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตัวเธอนั้นไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาที่น่าดึงดูด แต่แล้ววันหนึ่งเธอกลับพบว่าตัวเธอได้ถูกเชิญไปงานปาร์ตี้ ของแก๊งสาวธนาคาร เรื่องราวความวายป่วงทั้งหมดมันเริ่มจากที่นี้รีวิวเล็กๆ : ซีรีส์เรื่องนี้มีความยาว 1 ชั่วโมง 4 นาที 15 วินาที เป็นความยาวที่เล่าเรื่องราวของเรื่องนี้ได้อย่างน่าสนใจ สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชอบคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของงานออกแบบ ที่เหมือนว่าเรากำลังดูภาพยนตร์ยุค 80s-90s เป็นอารมณ์ประมาณนั้น ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมและราวไปถึงคาแรกเตอร์ของตัวละคร ช่างเป็นอะไรที่น่าคิดถึงจริงๆ เลยถ้าใครที่ชอบภาพยนตร์สยองขวัญยุคเก่าเหมือนผู้เขียนอาจจะชอบเรื่องนี้มากก็ได้ กับกับโดย อนา ลิลี่ อามีพัวร์ (Ana Lily Amirpour) หากใครยังพอจำได้จะมีภาพยนตร์อีล่านอยู่เรื่องหนึ่งอย่าง A Girl Walks Home Alone at Night นั้นแหละฝีมือเธอ นักแสดงอีตัวที่ผู้เขียนชอบนั้นก็คือ มาร์ติน สตาร์ กับคาแรกเตอร์ที่เข้าใจในภรรยาของเธอ ถึงแม่ภาพยนตร์สยองขวัญแนวนี้จะขายได้ยากแล้วสำหรับคนยุคนี้ แต่ในซีรีส์ชุดนี้ผู้เขียนก็ยังยกให้เป็นเรื่องที่น่าจับตาอีกเรื่อง เอมิลี่ แคร์รอล นักเขียนสายสยองขวัญผู้ที่รังสรรค์เรื่องราวสุดต็าซเรื่องนี้ ที่เคยมีผลงานมากมายอย่าง His Face All Red หรือหากใครเป็นสายเกมก็จะเจอชื่อเธออย่าง Gone homePickman's Model : นางแบบของพิคแมนเล่าย่อๆ : เรื่องราวของจิตกรผู้มีความสามรถ แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบเข้ากับเพื่อนร่วมชั่นคนหนึ่งซึ่งมีความสามารถในการ ถ่ายทอดผลงานของเขาแต่อาจจะแปลกหูแปลกตาของคนที่ได้พบเห็น วิลเลี่ยม เธอร์เบอร์ หรือวิล (รับบทโดย เบน บาร์นส์) จากซรรีสืเรื่องดังอย่าง Shadow And Bone ชายผู้มากความสารถนี่ และแล้วในวันนั้นเพื่อร่วมห้องของเขาอย่าง ริชาร์ด พิกแมน (รับบทโดย คริสพิน โกลเวอร์) ได้เชิญชวนเขาเข้าไปดูงานที่เขาสร้างสรรค์ แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลยรีวิวเล็กๆ : Keith Thomas ผู้รังสรรค์ตอนนี้ที่ต้องบอกว่าสยองเหนือจินตนาการอีกเรื่อง ผู้เคยสร้างผลงานมาแล้วอย่าง The Vigil เป็นเรื่องราวที่เสนอความย้อนยุคอยู่หน่อยๆสำหรับเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าบทภาพยนตร์จะไม่ค่อยได้นำเราเหล่าคนดูเข้าสู่บ้านของความหลอน แต่บรรยากาศย้อนยุคก็หนอนได้อยู่หน่อยๆ สำหรับใครที่ชอบภาพยนตร์สยองขวัญแต่ไม่ jump scar อะไรมากเรื่องนี้ตอบโจทย์ ผู้เขียนชอบการนำเสนอในโหมดแบบนี้นะดูหม่นๆน่าค้นหา แต่เสียดายที่ CGI ยังไม่ได้โดดเด่นเท่าที่ควร ทั้ง 1 ชั่วโมง 36 นาที 16 วินาที เขาจะพาเราไปสำรวจเรื่องราวของภาพที่น่าสนใจได้อย่างน่าสนใจ -v’เอช. พี. เลิฟคราฟท์ (H.P. Lovecraft) ต้องบอกเลยว่าสุดจริงๆDreams in the Witch House : ความฝันในบ้านแม่มดเล่าย่อๆ : เล่าเรื่องราวของพี่น้องฝาแฝดชายกับหญิงคู่หนึ่ง แต่แล้ววันหนึ่งพี่สาวที่เป็นแฝดของเขาได้เสียชีวิตลง แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเด็กชายคือประตูที่จะนำวิญญาณที่ ยังไม่ถึงที่ตายเก็บเอาไว้ วอลเตอร์ กิลแมน (รับบทโดย รูเพิร์ท กรินท์ หรือ รอนจาก Harry Potter) เมื่อโตขึ้นทำให้เขาต้องออกเดินทางเพื่อหาความจริงที่จะต้องเจอพี่ของเขาอีกครั้งแต่แล้วเรื่องราวความ วินาศสันตะโรก็เริ่มขึ้นรีวิวเล็กๆ : เป็นตอนที่สร้างมาจากเรื่องสั้นของ เอช. พี. เลิฟคราฟท์ (H.P. Lovecraft) ที่ได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง แคทเธอลีน ฮารฺดวิก (Catherine Hardwicke) ผู้ที่เคยฝากผลงานเอาไว้แล้วอย่าง Red Riding Hood / Thirteen / Twilight นำเสนอความหลอนในรูปแบบที่ไม่มีที่ไหนเคยทำมาก่อน ต้องยอมรับเลยว่าตัวละครในเรื่องทำออดมาได้น่าสยดสยองที่สุด อยู่น่าเกลียดน่ากลัวมากๆ และการเล่าธีมแนวย้อนยุคเพราะต้องตรงกับต้นฉบับก็ทำออกมาได้หลอนมากๆ บทภาพยนตร์ตลอดทั้งความยาว 1 ชั่วโมง 2 นาที 26 วินาทีนั้น เราจะได้พบกับความต้นเต้นที่ต้องบอกว่าไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสยองขวัญให้เราเหล่าคนดูได้รู้สึกถึงมัน เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า jump scar ใช้ไม่ได้ก็ไม่มีผิด แต่ส่วนหนึ่งที่ชอบคือ ธีมหลังที่ออกแบบมาได้หลอนสุดๆ บ้านที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว เชื้อราความชื้นคราบต่างๆ มันทำให้เราเหล่าคนดูรู้สึกได้ถึง ความอึกอัดได้อย่างน่าประหลาดใจThe Viewing : การร่วมชมเล่าย่อๆ : เรื่องราวมันเริ่มขึ้นเมื่อคนที่มีความสำคัญมาร่วมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์สองท่าน นักดนตรี นักเขียน คนทรงเจ้าเข้าผี เพื่อมาชมสิ่งที่ไม่มีใครเคยพบเคยเจอมันมาก่อนในโลกใบนี้ ลาสสิเตอร์ (รับบทโดย ปีเตอร์ เวลเลอร์นักแสดงรุ่นใหญ่อย่างเรื่อง RoboCop 1987 รุ่น OG) แต่แล้วสิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่ตรงนั้นนั่นมันเกิดตื่นขึ้น พวกเขาจะทำอย่างไรต่อต้องติดตามรีวิวเล็กๆ : หากใครกำลังนึกถึงภาพยนตร์วิทยาตร์ผู้เขียนว่าเรื่องนี้น่าจะเหมาะกับคำว่า ภาพยนตร์สยองขวัญมากเลยทีเดียว ตลอดทั้งความยาว 56 นาที 39 วินาที ผู้เขียนเชื่อเสมอว่าเป็นอะไรเป็นเรื่องราวที่อีหยังว่ะแบบสุดๆ ภาพยนตร์เล่นทำภาพสไตล์ย้อนยุค ไม่ใช้แค่ย้อนธรรมดานะติดนอยส์อีกต่างหาก เรื่องนี้ได้ผู้กำกับอย่าง พานอส คอสมาทอส ที่เคยฝากผลงานมาแล้วอย่าง Mandy ตอนแรกที่ดูผู้เขียนถึงว่าภาพยนตร์จะให้ความรู้สึกประมาณเรื่อง The Man from Earth คนอมตะฝ่าหมื่นปี 2007 แต่แล้วมันไม่ใช่ คือไม่ได้อะไรเลยจากเรื่องนี้ แนวเรโทร Slow Burn แล้วตัดจบด้วยการทิ้งคนดูไว้ให้งงเล่นๆเรื่องนี้ทำแบบนี้เลย และตัวอสุรกายก็เหมือนกับหลุ่ดออกมาจากเกมมากกว่าภาพยนตร์ เป็นแบบไหนอย่างไรคนดูต้องพิสูจน์The Murmuring : ฝูงนกเล่าย่อๆ : เรื่องราวเล่าถึงนักรักษีวอทยาคู่หนึ่งที่นำแสดงโดย แนนซี่ (รับบทโดย เอสซี่ เดวิส จาก The Babadook) และเอดการ์ (แอนดรูว์ ลินคอล์น ที่เคยสร้างผลงานมาแล้วอย่าง The Walking Dead) เมื่อการเดินทางมาศึกษานักของทั้งคู่ที่ต้องเดินทางมายังเกาะที่ห่างไกลผู้คน แต่แล้วในคืนแรกสิ่งไม่ไม่นึกไม่ฝัก็เกิดขึ้นกับพวกเขา เรื่องราวความหลอนมันจะเป็นอย่างไรต้องติดตามรีวิวเล็กๆ : จากผู้กำกับภาพยนตร์สยองขวัญรุ่นใหม่ฝีมือเทพอย่าง เจนนิเฟอร์ เคนท์ (Jennifer Kent) ผู้ที่เคยฝากผลงานเอาไว้มากมายไม่ว่าจะเป็น The Babadook / The Nightinggale เป็นตอนที่ดีที่สุดของซีรีส์ชุดนี้ตลอดทั้งความยาว 1 ชั่วโมง 4 นาที 27 นาที หากใครเป็นแฟนภาพยนตร์แฟรนไชส์จักรวาลเดอะคอนเจอริ่ง ต้องชอบเรื่องนี้แน่นอนเพราะการเล่าเรื่อง ลำดับภาพ รวมไปถึงบทต่างๆมันเดินมาในรูปแบบของภาพยนตร์สยองขวัญมากขึ้น jump scar ใส่เข้ามาได้ดีและพอเหมาะ สิ่งที่หลอนที่สุดคือช่วงที่ตัวละครอยู่คนเดียว โทนต่างๆก็ไม่ได้น้อยหน้าเคย จังหวะการเล่าเรื่องและการคลายปมของตัวละครหลักก็สอดแทรกได้ดี เป็นที่สุดของซีรีส์ชุดนี้ที่ผู้เขียนชอบสุด ประเด็นตกผลึกจากผู้เขียน (ความกลัวจะนำว่าซึ่งความอ่อนแอ และความอ่อนแอจะนำมาซึ่งความชั่วร้าย)(สิ่งหนึ่งที่คนดูอย่างผู้เขียนเห็นคือความตั้งใจของทีมผู้กำกับทีมนักแสดง คะแนนเต็มแบบไหนอย่างไรไม่ควรนำมาตัดสิน กับเรื่องของภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม "คะแนนของคุณไม่ใช่คะแนนของใคร ที่สำคัญกำลังใจย่อมดีกว่าการตัดสินด้วยคะแนน" ผู้เขียนจะย้ำอยู่เสมอ สิบปากว่าไม่เท่าตาคุณเห็น ต้องชมเองให้ได้เท่านั้น)#จิปาถะและอรรถรสขอบคุณภาพประกอบจาก Netflix - ปก / 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8 ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก End Credits ท้ายเรื่อง และการเป็นแฟนเดนตายผู้กำกับภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักเขียนบทภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักแสดงทุกท่านทีมสร้างภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมทุกคนและบริษัทและค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมและในวันนี้ก่อนจากกันไปบอกเราหน่อยว่าผู้อ่านเป็นแฟน Guillermo del Toro’s Cabinet of Curiosities : กีเยร์โม เดล โตโร : ตู้ลับสุดหลอน เพราะอะไร อย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจ แล้วท่านจะไม่พลาดเหล่าคอนเทนต์ใหม่ๆที่ทาง จิปาถะ และ อรรถรส จัดมาให้แบบ Exclusive เจาะลึกถึงวงการบันเทิงที่มากกว่าใคร หากคุณรักภาพยนตร์ รักซีรีส์ อนิเมะ แอนิเมชัน และเกม ที่เดียวที่ จิปาถะ และ อรรถรสคอมมูนิตี้ “โลกคนรักหนัง” ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน