Movie Full Review: Little Forest (2018) "งานที่น่าจดจำของ "คิมแทรี" ภาพสวยดีต่อตา เนื้อหาดีต่อใจ"บทความนี้มีที่มาสืบเนื่องมาจากการดูซีรีส์ใหม่ทาง NETFLIX ที่อารมณ์คล้ายกันคือการหวนกลับสู่บ้านเกิด เพื่อใช้ชีวิตอยู่กับวิถีชนบทกับท้องทุ่งสีเขียวแสงแดดแมกไม้กับ Once Upon a Small Town วินาทีนั้นในกมลของดูไปบ่นไปพลันคิดถึงหนังเรื่องหนึ่งของคิมแทรีที่คนส่วนมากรู้จักเธอจากซีรีส์ Mr.Sunshine แต่อาจมีอีกมากที่ไม่รู้ว่าคนดูในบ้านเราเริ่มรู้จักเธอจากบทบาทจากหนังเรื่องนี้ที่ไม่ต้องทะเยอทะยานแต่หวนกลับสู่รากเหง้าที่เรียบง่าย แล้วเล่าด้วยความเรียบง่ายนักแสดงเพียงไม่กี่คนแต่ให้บทหนังกำหนดความรู้สึกคนดูแล้วเมื่อคิดถึงจึงได้หยิบฮาร์ดดิสก์บรรจุหนังที่ลูกชายคนโตทำไว้ให้มาเปิดดูอีกครั้ง ซึ่งสำหรับนักแสดงคิมแทรีนั้นผู้เขียนอาจไม่ได้ถึงกับเป็นติ่งของเธอแต่ไม่น่าเชื่อว่าดูงานของเธอมาเกือบครบหรือจะเรียกว่าครบก็คงได้เพราะงานที่ควรต้องดูก็ได้ดูทุกเรื่องทั้งหนังสี่ซีรีส์สองเรื่องทั้ง The Handmaiden (2016) ที่เป็นหนังเรื่องแรกของเธอกับการแสดงที่ถึงเนื้อถึงหนังและเข้าไปนั่งในใจนักวิจารณ์และคนดูหนังมากมาย อีกสองเรื่องคือ 1987 : When The Day Comes (2017) และ Space Sweepers (2021) ส่วนงานซีรีส์นั้นคิมแทรีไม่รับงานมากจึงมีเพียงสองเรื่องที่เป็นซีรีส์ขนาดยาวคือ Mr.Sunshine (2018) และที่คนดูเพิ่งประทับใจกันไปคือ Twenty Five Twenty One ที่ผู้เขียนจะสื่อคือ ฝีมือทางด้านการแสดงมีส่วนช่วยบทหนังหรือบทซีรีส์ได้มาก และที่ชัดเจนคือหนังเรื่องนี้ที่บทหนังออกมาเรื่อยเฉื่อยฉิว เหมือนลมพลิ้วแผ่วเป็นบทที่ผ่อนคลายดูสบาย และมันคือบทที่สร้างชื่อในฐานะนักแสดงที่เล่นเรื่องไหนได้รางวัลทุกเรื่องของเธอจึงพิสูจน์ได้ว่าเมื่อเธอมาเล่นบทที่ใสสะอาดแบบนี้คิมแทรีมีอะไรที่ "ไม่ธรรมดา" Little Forestเรื่องย่อวันหนึ่งในฤดูหนาวที่พื้นดินปกคุลมด้วยหิมะฮเยวอน (คิมแทรี) เดินทางกลับบ้านในชนบทที่เห็นชัดว่าเธอกำลังหนีอะไรบางอย่างมาจากเมืองกรุง แต่สิ่งที่ตามมาด้วยคือความหิว และบ้านก็ยังเป็นบ้านที่มอบความอบอุ่นกายยามหนาวเหน็บมอบอาหารปรุงสุกใหม่ให้อบอุ่นกระเพาะ แม้ว่าบ้านจะเหมือนขาดบางอย่างแต่บางอย่างก็ยังอบอวลรายล้อมฮเยวอน อยู่โดยที่ไม่รู้ตัว หลังมื้ออาหารที่เติมเต็มท้องและความอบอุ่นรุ่งเช้าฮเยวอนที่คิดจะมาพักกายใจเพียงไม่นานก็ได้เจอกับแจฮา (รยูจุนยอล) เพื่อนเก่าสมัยยังเยาว์ที่หลีกหนีสังคมเมืองมาใช้ชีวิตเกษตรกรที่บ้านเกิด จากนั้นอึนซุค (จินกีจู) เพื่อนเก่าที่ฝันอยากไปจากเมืองชนบทที่น่าเบื่อแห่งนี้แต่ยังเป็นพนักงานธนาคารในเมืองก็ตามมา เพื่อนเก่าครั้งยังเยาว์ทั้งสามคนจึงได้มาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งและเรื่องก็ได้เผยให้เห็นว่าเหตุใดฮเยวอนจึงเป็นโรคภูมิแพ้กรุงโซลแล้วหอบความหิวเหนื่อยล้าทั้งกายใจกลับมาบ้านบ้านที่เธอเองก็ไม่ได้อยากกลับมาเมื่อนี่คือที่ที่เธอกับแม่ย้ายมาอยู่แต่เป็นบ้านเกิดของพ่อและแม่ก็จากเธอไปในวันหนึ่งซึ่งเธอไม่เคยเข้าใจเหตุผล กระนั้นฮเยวอนที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในเมืองกลับมีชีวิตที่ยืนอยู่ได้ในสังคมชนบทเมื่อมีงานในไร่นาให้ทำมีอาหารปรุงสุกใหม่ให้ทาน และการทำอาหารก็คือสิ่งที่ซึมซับจากการที่เธอใช้ชีวิตอยู่กับแม่มาตั้งแต่เล็กมีความทรงจำที่งดงามผ่านการทำอาหารและทัศนคติต่อโลกในมุมที่สวยงามของแม่ แต่ความขัดขืนในใจที่แม่ทิ้งไปก็ยังทำให้ความรู้สึกของฮเยวอนไม่คงที่จนได้เริ่มทำการเพาะปลูกได้เห็นการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ได้ลิ้มรสสิ่งที่ตนเองปลูกการได้ทำอาหารตามแบบที่แม่เคยทำ ผ่านการพูดคุยผ่านการได้ใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนเก่าทั้งสองคนก็ได้โอบอุ้มจิตใจฮเยวอน จนกระทั่งเมื่อการใช้ชีวิตในป่าเล็กที่แม่สร้างไว้ด้วยการหล่อหลอมให้เธอเป็นฮเยวอนก็รู้และเข้าใจว่าทำไมแม่ต้องจากเธอไป ฉันกลับมาเพราะความหิวนี่คือความเรียบง่ายของบทภาพยนตร์ ด้วยบทสนทนาที่เรียบง่ายแต่คมคายในการสื่อสารกับคนดูเรื่องของความฝันชีวิตเมืองและชีวิตชนบท เมื่อตัวละครทั้งสามคนคล้ายเป็นสามมุมมองในการมองชีวิต ฮเยวอนคือความบอบช้ำทั้งกายใจจากเมืองใหญ่แต่ไม่เข็ดหรือไม่กล้าพอที่จะกลับมาใช้ชีวิตที่เป็นรากเหง้าเมื่อเธอต้องการแค่มาพักกายพักใจชั่วครั้งคราวเพื่อเติมพลังชีวิต ส่วนแจฮาคือคนที่บอบช้ำจากเมืองใหญ่เช่นกันด้วยความเป็นขบถต่อระบบแต่เขากลับกล้าพอที่จะกลับมาเป็นอิสระทางชีวิตในที่ที่เป็นรากเหง้าของตัวเอง และอึนซุคผู้ไม่เคยเดินทางออกจากเมืองเล็กๆแห่งนี้เลยแต่ก็ยังมีความเบื่อหน่ายในชีวิตที่จำเจในชนบทแต่อึนซุคก็ยังไม่กล้าพอที่จะออกไปเผชิญโลก บทภาพยนตร์ชั้นเยี่ยมที่เล่าเรื่องสามมุมมองของคนสามคนให้ร้อยเรียงกัน แล้วให้คนดูพิสูจน์เองว่ามุมไหนที่ถูกใจไม่ใช่ถูกหรือผิดหนังยังมอบมุมมองการเยียวยาแผลใจผ่านความอบอุ่นของสถานที่ที่เรียกว่า "บ้าน" เมื่อบ้านยังคงมอบหลังคาที่คุ้มหัวในฤดูฝน เป็นที่บังแดดในฤดูร้อน มอบความอบอุ่นในฤดูหนาว และเป็นที่เพราะปลูกเพื่อผลิตอาหารดับความหิวโหยในฤดูใบไม้ผลิ บ้านที่ยังอบอวลไปด้วยความรักและความทรงจำที่ดีแม้คนที่เรารักจะไม่อยู่แล้วไม่ว่าด้วยเหตุผลใดแต่ความรักนั้นยังคงอยู่ เมื่อความทรงจำได้ทำให้ฮเยวอนที่เป็นแกนกลางของเรื่องได้รำลึกและเข้าใจผ่านการใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนอีกสองคนที่ต่างประสบการณ์ และทั้งสองประสบการณ์ที่ได้รับรู้ก็คือน้ำหนักที่ชั่งลงบนตาชั่งของหัวใจว่าที่ไหนคือที่ที่เหมาะกับเธอ และการชั่งน้ำหนักนั้นได้ถูกสื่อสารผ่านการใช้ชีวิตที่เป็นรากเหง้าของเธอผ่านการเพาะปลูกและการทำอาหารในแบบที่แม่เธอเคยทำเมื่อทำแล้วก็คิดเมื่อเริ่มคิดก็คิดได้ว่าแท้จริงแล้วที่ที่เธออยู่มาจนผ่านฤดูกาลที่ผันแปรมาจนหน้าหนาวอีกครั้งนั้น แม้จะเหมือนขาดบางอย่างแต่เธอก็อยู่ได้ อยู่ดี และมีความอบอุ่นเสมอมาเพราะสิ่งที่เธอซึมซับมาจากแม่ได้อยู่ในป่าเล็กๆที่แม่ได้สร้างไว้ให้เธอเพื่อที่สักวันเธอจะได้คืนสู่ป่าเล็กๆแห่งนี้ แต่บทยังท้าทายต่อไปเมื่อความหิวทางกายและความโหยทางใจได้ถูกเติมจนอิ่มแล้วฮเยวอนก็ได้เติมเต็มแล้วลุกขึ้นได้และกลับไปพิสูจน์ว่าเธอจะเป็นเช่นไรเมื่อกลับสู่เมือง และหนังก็มีบทสรุปที่เรียบง่ายเมื่อฮเยวอนเลือกที่จะกลับคืนสู่ที่ที่มีความอบอุ่น และที่นั่นอาจมีอะไรที่เติมเต็มหัวใจให้สมบูรณ์ได้แล้วเพราะชีวิตบางทีก็ง่ายๆเมื่อได้เข้าใจก็ถึงเวลาที่ต้องออกไปพิสูจน์ แต่ในที่สุดก็ไม่มีที่ไหนเหมาะกับเธอมากกว่าป่าเล็กๆของแม่และไม่แน่เธออาจมีป่าเล็กๆของตัวเองให้ได้กลับมาพักพิงถาวรแม่คือป่าเล็กๆของฉันสำหรับฮเยวอนแม่คือความทรงจำทั้งดีและร้าย เพราะนี่คือเรื่องของหญิงสาวผู้เหนื่อยล้าและหิวโหยที่ชื่อฮเยวอนหนังจึงเล่าเรื่องของเธอเป็นแกนและวางเหตุการณ์ที่เธอต้องเจอมาเป็นน้ำหนัก เมื่อแม่คือผู้เป็นทุกอย่างของเธอในวัยเด็กทิ้งเธอไปในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อก็คือความทรงจำมุมร้ายจนยากจะเข้าใจ แต่ที่ผ่านมานั้นตั้งแต่แรกจนมาถึงวันจากลาสิ่งที่เป็นคือความอบอุ่นบนความขาดแคลนที่มีเสมอมาในการใช้ชีวิตกับแม่เพียงลำพังของฮเยวอน และทัศนคติที่ดีต่อโลกและความรักที่แม่มอบให้มันคือการสร้างโลกอีกใบที่เรียกว่า ป่าเล็กๆ เมื่อฮเยวอนผู้เหนื่อยล้าทางกายเพราะต้องกระเสือกกระสนทำงานหาเงินในเมืองใหญ่เพื่อดำรงชีวิตและเรียนเพื่อตามฝัน ความขาดแคลนจึงสะสมความหิวโหยท้องไม่อิ่มเมื่อเธอบอกกับคนดูว่า "อาหารสำเร็จรูปไม่เคยทำให้อิ่ม" เมื่อความฝันที่จะสอบครูไปไม่ถึงในขณะที่คนรักไปต่อได้ทั้งร่างกายและหัวใจจึงอ่อนล้าจนบอบช้ำสังคมเมืองได้ทำให้น้ำใสๆในขวดโหลแห่งใจของหญิงสาวชาวชนบท ขุ่นข้นไปด้วยตะกอนกลายเป็นจิตวิญญาณพลัดหลง ทางเดินที่มีคือทางกลับบ้านกลับสู่รากฐานที่เคยมีการหาอาหารง่ายๆปรุงสุกใหม่ที่มีในบ้าน กลับช่วยเยียวยากระเพาะที่เรียกร้องด้วยความหิวกระหาย การได้ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติการได้ตามรอยที่แม่ทิ้งไว้ ผ่านการทำอาหารที่หนังสื่อให้เห็นทุกครั้งว่ามาจากแม่ การได้เพาะปลูกและเก็บกินผลงานของน้ำมือตนเองการได้สัมผัสมุมมองของเพื่อนทั้งสองคนที่แตกต่างกลายเป็นคล้ายดั่งการค่อยๆเติมน้ำใสสะอาดลงในขวดโหลที่ขุ่นข้นนั้น แล้วน้ำในขวดก็ค่อยๆใสขึ้นเพราะน้ำใหม่ที่ใสสะอาดไปไล่น้ำเก่าด้วยน้ำที่ค่อยๆเทแต่เทลงเรื่อยๆไม่หยุด แม้ถึงที่สุดไม่อาจไล่ความขุ่นของตะกอนออกได้หมดแต่น้ำที่มีก็ใสขึ้นกระทั่งความแตกต่างนำมาซึ่งการได้เห็น และได้คิดว่าความใสของน้ำในขวดมาจากการเติมน้ำที่ใสสะอาดลงไปสุดท้ายอาจทำได้แค่เจือจาง ในที่สุดก็ตัดสินใจคว่ำขวดเทน้ำทิ้ง แล้วเติมน้ำใหม่ที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ลงไปให้เต็มแทน เฉกเช่นฮเยวอนที่เมื่อได้รับการเยียวยาหัวใจได้ปัดฝุ่นที่เปื้อนร่างกาย เพราะการล้มแล้วเติมพลังงานชีวิตเพื่อกลับไปสู้ต่อ ก็คือน้ำที่เริ่มใสแต่ยังไม่สะอาดหมดจดจนกระทั่งเมื่อคิดได้ ก็จึงคว่ำขวดน้ำทิ้งแล้วกลับไปหาน้ำใหม่ที่บริสุทธิ์ที่บ้านเพื่อมาเติมข้างในให้ใสสะอาด แล้วคราวนี้ป่าเล็กๆที่แม่เคยสร้างไว้ ก็กลายเป็นป่าเล็กๆของเธออย่างสมบูรณ์ เมื่อการใช้ชีวิตในนั้นไม่เหลือความกังขาในตัวของแม่และเธอสามารถอยู่ได้และไม่แน่ว่าเธออาจจะสร้างป่าเล็กๆไว้ให้ใครอีกคนแล้วก็ได้ แล้วแต่คนดูจะคิดเช่นไรเมื่อฉากสุดท้ายมาถึง ซึ่งบริสุทธิ์ ใสสะอาด เรียบง่าย หมดจด งดงามทุกวินาทีการหวนคืนสู่รากเหง้าไม่ใช่ชีวิตสโลว์ไลฟ์ชีวิตในชนบทอาจเป็นความสวยงามในมุมของคนที่ใช้ชีวิตในเมืองมาตลอดเพราะในสังคมเมืองที่ต้องดิ้นรน แต่การดิ้นรนก็มีอยู่ในทุกที่ฝนที่ทำหน้าที่คลายความร้อนให้คนเมือง อาจเป็นฝนที่ทำให้ต้นข้าวที่รอการเก็บเกี่ยวของคนชนบทล้ม หรืออาจทำให้ผลแอปเปิ้ลที่กำลังจะทำรายได้ให้เจ้าของสวนในชนบทหล่นร่วงเสียหาย และกลายเป็นความเจ็บปวดในการลงทุนลงแรงซึ่งก็คือความดิ้นรนเช่นกันแค่ต่างวิธีการ ความงดงามของบางคนอาจเป็นความชอกช้ำของบางคนเมื่อหลังฝนท้องฟ้าที่เคยหม่นด้วยหมอกควันในเมืองกลายเป็นฟ้าสดใสและนำมาซึ่งอากาศบริสุทธิ์ที่หาได้ยาก แต่หลังฝนของคนชนบทอาจเป็นการต้องตรากตรำงานหนักเพื่อกอบกู้ผลิตผลทางการเกษตรหรือความสูญสิ้นจากอุทกภัย ดังเช่นตัวละครของแจฮาและอึนซุคที่เป็นความต่างที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำ แจฮากล้าพอที่จะขบถและออกจากกรอบของตนเองเพื่อมามีชีวิตที่อิสระไม่ต้องถูกชี้นิ้วให้ทำตามคำสั่ง แต่ในความเป็นเกษตรกรมือใหม่แจฮาก็ต้องดิ้นรนมากมายทั้งการเรียนรู้และอุปสรรค กลับกันกับอึนซุคที่ไม่กล้าออกจากโซนปลอดภัยเพราะกลัวตกงาน แต่ชีวิตก็ต้องอดทนดิ้นรนกับหัวหน้างานก็คือชีวิตที่ต้องดิ้นรนในอีกมุม และสองมุมนี้ก็คือน้ำหนักบนตาชั่งของฮเยวอนเมื่อเธอคล้ายกับอยู่ตรงกลางของคนสองคน ได้เห็นน้ำหนักของการได้ตรากตรำในการใช้ชีวิตในชนบทที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารแต่ต้องทรมานร่างกาย กับการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่ขาดแคลนปัจจัยด้านการยังชีพแต่ไม่หนักหน่วงทางร่างกายหรือเรียกอีกอย่างว่า ได้เห็นน้ำหนักของชีวิตเกษตรกรของแจฮากับชีวิตมนุษย์เงินเดือนของอึนซุค การได้สัมผัสกับธรรมชาติการได้ใช้ชีวิตในแบบที่แม่เป็นได้เพิ่มพลังในการสู้ชีวิตแล้วการกลับไปลองใหม่อีกครั้งแต่นั่นคือสิ่งที่ฮเยวอนต้องการจริงหรือ ชีวิตในชนบทอาจไม่สุขสบายแต่อย่างน้อยยังเป็นที่ที่ต้อนรับหัวใจของผู้จากไปเสมอด้วยความอบอุ่น แต่คราวนี้ไม่ใช่การมาพักเติมพลังเช่นเดิมแต่มันกลับมาฝังรากลงในเหง้าของตนเองเมื่อการขี่จักรยานไปในทิวทัศน์ท้องทุ่งที่สวยงามสูดความบริสุทธิ์ของอากาศและเสพความรู้สึกดีให้เต็มหัวใจคนดูก็รู้แล้วว่าหัวใจของฮเยวอนกลับมาใสสะอาดแล้วอีกครั้งที่ความยอดเยี่ยมด้านการแสดงมาจากความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอีกครั้งที่เกาหลีเล่าเรื่องคนธรรมดาคนที่ไม่มีหน้าตาทางสังคมคนที่ไม่ต้องใส่สูทเดินไปมาไม่ต้องแต่งตัวสวยๆงามๆ แต่เป็นคนชนบทธรรมดาชาวไร่ธรรมดาไม่ได้วิเศษเลิศเลอใด และการเล่าเรื่องคนธรรมดานี้สำหรับเรื่องนี้นี่คือการแสดงเป็นคนธรรมดาได้ในระดับเหนือธรรมดา นั่นคือการแสดงที่กลายเป็นมนุษย์เดินดินธรรมดาได้อย่างสมบูรณ์แบบของนักแสดงทั้งสามคน แต่ที่โดดเด่นกว่าคนอื่นต้องยกให้คิมแทรีในบทฮเยวอนที่เป็นคนที่วิญญาณหลงทางกลับมาอยู่บ้านและใช้ชีวิตไม่ต่างจากการตามรอยแม่ของตน ใช้ชีวิตผ่านความสับสนระหว่างความทรงจำที่มีทั้งดีร้ายเมื่อแม่ทิ้งไป แต่พัฒนาการอยู่ที่การใช้ชีวิตในแต่ละฤดูที่หนังสื่อออกมาในสายตาและความรู้สึกข้างในได้ถูกถ่ายทอดผ่านการแสดงของคิมแทรีอย่างหมดจด เมื่อคนดูจะเห็นว่าเธอค่อยๆเปลี่ยนทัศนคติค่อยๆเติบโตและเข้าใจชีวิตในที่สุดจนบทสรุปก็คือยอมรับในความเป็นตนเองว่า เหมาะกับชีวิตแบบไหนการแสดงของเธอจึงคู่ควรกับคำยกย่องฝีมือของเธอเพราะเรื่องนี้เธอคือแกนหลักแบกเรื่องไว้อย่างเต็มที่กับบทคนที่แสนธรรมดาเดินสวนทางกันยังไม่เหลียวมอง (หรืออาจมองเพราะเธอน่ารัก) เธอทำให้เชื่อทั้งใจ ส่วนอีกสองคนคือรยูจุนยอลและจินกีจูก็รับผิดชอบหน้าที่ได้อย่างไม่มีที่ติแต่บทของทั้งสองคนคือบทที่ช่วยสนับสนุนความเปลี่ยนแปลงของตัวละครฮเยวอนและตัวละครของทั้งสองคนจึงไม่มีความเปลี่ยนแปลงหรือมิติมากนักเพราะหนังโฟกัสไปที่ฮเยวอนแต่ก็เป็นตัวสนับสนุนชั้นยอด ส่วนมุนโซรีในบทแม่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าเล่นน้อยแต่ได้มากเพราะไม่มีครั้งใดที่การขึ้นจอของแม่แล้วคนดูจะไม่สัมผัสถึงความรักและความอบอุ่น แม้จะขัดเคืองและตั้งคำถามว่าทำไมแม่ถึงจากไปก็ยังไม่อาจลบไออุ่นรักได้จนมาเข้าใจในตอนท้ายก็พร้อมจะให้อภัยด้วยการแสดงที่คนดูเชื่อ และด้วยภาพธรรมชาติและฉากในชนบทของเกาหลีที่สวยเล่าผ่านสีสันของฤดูกาลได้ลงตัวกับเพลงประกอบที่ฟังสบายทำให้หนังดูแล้วรู้สึกดีมากมายชีวิตชนบทอาจเหมาะกับบางคนและไม่เหมาะกับบางคนเพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องดิ้นรนใช่หรือไม่... เรื่องที่ดูเหมือนเบาแต่ไม่เบาเพราะแม้จะเล่าในความเป็นหนังที่อบอุ่นละมุนหัวใจในแบบงาน Feel Good แต่ข้างในมีอะไรให้ได้รับรู้มากมาย และการเลือกเสนอในแบบเยียวยาหัวใจที่พลัดหลงการรักษาอาการของโรคภูมิแพ้เมืองใหญ่ของตัวละครหลักผ่านงานด้านภาพในโทนสดใสและสีสันแห่งฤดูกาล งานด้านภาพที่เปี่ยมความหมายในแบบญี่ปุ่นอาจเพราะสร้างจากมังงะของญี่ปุ่นเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะอดคิดไปถึงงานจากญี่ปุ่น แต่ความแข็งแรงของบทยังทำงานได้อย่างสมบูรณ์เมื่อไม่เหลือความกังขาใดๆหรือละเลยอะไรไว้ ชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายด้วยการเล่าเรื่องเรียงเวลาไปแล้วแฟล็ชแบ็คมาอธิบายหรือตั้งคำถาม ความฉลาดของบทที่ไม่ใช้ความรักของหนุ่มสาวมาเป็นตัวแปรแค่ให้เห็นรางๆทำให้เรื่องมิตรภาพไม่เสียสมดุลหรือการมองเข้าไปผ่านสายตาเปรียบเทียบระหว่าง ชีวิตที่ต้องดิ้นรนสับสนวุ่นวายในเมืองใหญ่ และชีวิตที่ต้องดิ้นรนแต่เรียบง่ายของชนบท มุมที่อาจเห็นต่างกันเมื่อคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอาจมองชีวิตชนบทเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายสวยงามน่าหลงไหลน่าสัมผัส แต่บางทีก็ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าถ้ามาใช้ชีวิตอยู่ในชนบทจริงๆจะอยู่ได้นานสักเท่าไหร่ เพราะชนบทไม่ได้มีแค่สีเขียวไม่ได้มีอากาศบริสุทธิ์ตลอดเวลา ยังมีความร้อนแล้งรุนแรงแผดเผายังมีพายุฝนที่สามารถทำลายพืชผลที่เป็นความหวังยังมีอากาศที่หนาวเหน็บจนยากจะทานทนเพราะไม่ว่าที่ไหนก็ต้องมีปัจจัยสี่เพียงแต่การแสวงหาต่างกัน และในมุมของคนชนบทก็อาจมองคนเมืองว่ามีชีวิตที่สุขสบายหน้าหนาวก็มีเครื่องทำความร้อนร้อนก็มีห้องแอร์แต่จะไปใช้ชีวิตอยู่ก็อาจอยู่ได้ไม่นานเช่นกันเพราะเป็นเช่นนี้คนชนบท จึงไม่ได้เที่ยวดอยทุกวันหยุด แต่กลับกันคือไม่มีวันหยุดเพราะงานในไร่ต้นพืชไม่หยุดด้วย นั่นหมายความว่าความสวยงามของชีวิตจึงอยู่ที่จะมองเข้าไปในแง่ไหน ก็ใช่ที่อาจบางทีคนชนบทก็ไปเดินห้างบ้างซื้อของบ้างนั่นคือการพักผ่อนในสิ่งที่ไม่มีให้สัมผัสใกล้ๆและเป็นแค่นานๆที เช่นกันกับการที่ในวันหยุดคนเมืองก็ถวิลหาความสดชื่นของชนบทเพราะนานๆทีจะได้สัมผัส แค่มนุษย์มีชุดความคิดที่ต่างกันไม่ได้มีใครผิดหรือถูกเพราะขึ้นอยู่กับว่าเราจะพอใจชีวิตในแบบไหนมากกว่า และหนังเรื่องนี้ก็สื่อออกมาแบบนั้นว่าแท้จริงแล้วฮเยวอนพอใจกับชีวิตแบบไหน ทำให้หนังออกมาภาพสวยสบายตาเนื้อหาดูแล้วสบายใจไม่มีพายุรุนแรงเชิงดราม่าไม่มีมิติด้านความรักที่โรแมนติกเรื่องนี้ เป็นงานที่เหมาะกับการเร้นหัวใจจากเรื่องราวที่โหดร้ายในโลก แล้วกลับสู่ความเรียบง่ายที่แสนงดงามกลับไปสัมผัสกับสิ่งที่ "ดีต่อใจ"ดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก,ภาพที่ 1,2,3,4,5,6,7,8 จาก megaboxplusm.co.krหมายเหตุ ผู้เขียน "ดูไปบ่นไป" คือบุคคลเดียวกับ Facebook Fanpage ดูไปบ่นไปอ่านบทความผลงานของ "คิมแทรี" โดย "ดูไปบ่นไป" ได้ที่นี่รีวิวจัดเต็ม Mr.Sunshine : สุภาพบุรุษตะวันฉาย (2018) งานระดับมาสเตอร์พีซ ที่คำว่า "ยอดเยี่ยม" คงยังไม่พอรีวิวจัดเต็ม Twenty Five Twenty One : ยี่สิบห้า ยี่สิบเอ็ด (2022) "ความรัก ความฝัน แรงบันดาลใจ ยุคสมัย และความจริงของชีวิต"เกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !