In My MemoriesMy Sassy Girl : ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม (2001)ขำขัน หักมุม ซาบซึ้ง ตราตรึง กับหนึ่งในงานรอมคอมที่ดีที่สุดตลอดกาลviu ช่วงปลายยุค 90 ต่อมาถึงต้นยุค 2000 ความนิยมหนังจีน (ฮ่องกง) ในบ้านเราได้ถึงภาวะถดถอยลงอย่างน่าตกใจ ค่ายหนังอิสระในบ้านเรายุคนั้น ที่ทำมาหากินกับการนำเข้าหนังจีนนับว่ามีอยู่สองค่าย หนึ่งคือ สหมงคลฟิล์ม และอีกหนึ่งคือ นนทนันท์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (ที่มีโรงหนังของตัวเองบนห้างกาดสวนแก้วที่เชียงใหม่) ทว่า เมื่อกระแสหนังจีนเริ่มซบเซา ฝ่ายหลังจึงเริ่มปรับตัวก่อนด้วยการนำเข้าหนังทางฝั่งเกาหลีบ้าง ที่ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิดคือหนังปี 1999 เรื่อง SHIRI : เด็ดหัวใจยอดจารชน (นำแสดงโดย ฮันซอกคยู ซงคังโฮ คิมยุนจิน และ ชเวมินซิค) แต่ที่จำได้เลยคืออรรถรสของหนังจะมีความต่างไปจากหนังจีน (ฮ่องกง) แม้ว่าจะมีกลิ่นอายความเป็นหนังจีนอยู่เต็มที่ แต่กระนั้น ก็ไม่แน่ใจว่าหนังที่ดังเปรี้ยงเรื่องแรกคือเรื่องไหน แต่ที่แน่ๆเรื่องนี้คือหนึ่งในหนังที่ดังเปรี้ยงปร้างมาก ตอนที่เข้ามาฉายในเมืองไทย ดังขนาดประทับตราดารานำทั้งสองคนให้มีชื่อประจำตัวได้ หนังตลกโรแมนติกที่เป็นตำนาน หนังที่สร้างชื่อและประทับเครื่องหมายการค้าให้นางเอก จอนจีฮยอน ว่า ยัยตัวร้าย และพระเอก ชาแทฮยอน ว่า นายเจี๋ยมเจี้ยม ที่นับจากนั้นมา เมื่อมีหนังของเธอและเขาเข้ามาฉาย ก็จะถูกเรียกขานตามสมญานามนั้นไม่ต่างจาก คนเหล็ก คนเล็ก หรือฟัดหรือใหญ่ แม้ว่าเนื้อหาจะไปคนละทาง กระทั่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลยก็ตาม และเมื่อหนังเรื่องนี้มีมาให้ชมอีกครั้งผ่าน viu ภาพจำของหนังจึงผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง ในวันที่เวลาผ่านมาแล้วถึงสองทศวรรษ แต่ แม้ว่าจะชมเป็นรอบที่ไม่รู้เท่าไหร่ หนังยังคงสนุกและซาบซึ้งตรึงใจเช่นเดิม My Sassy Girlในส่วนของเนื้อหาอาจไม่ต้องสาธยายให้มากความ เพราะเชื่อเหลือเกินว่า คนที่เกิดทันหรือโตทันยุคบุกเบิกของวงการบันเทิงเกาหลีมา ผู้เขียนเชื่อว่าต่างก็เคยได้ดูมากันถ้วนทั่วแล้ว ด้วยความที่เป็นหนังที่เรียกว่ามาเปิดตลาดหนังเกาหลีในยุคแรก ด้วยการเล่าเรื่องแบบเกาหลีที่คนไทยไม่คุ้นชิน คือเงียบนิ่ง และสื่อสารด้วยภาพ เพลง และการแสดงในแบบหนังญี่ปุ่น มองเห็นความราบเรียบในการเล่าเรื่อง มากกว่าจะเน้นความหวือหวารวดเร็วแบบหนังจีน ชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่ใช้บทภาพยนตร์ชั้นดีเป็นตัวตั้ง สลับห้วงเวลาไปมา การเป็นหนังตลกที่ตลกจากบทมากกว่าตลกเจ็บตัวหรือบ้าบอ หรือจะเรียกว่าตลกหน้าตายก็คงไม่ผิดนัก ประกอบกับความโรแมนติกหวานซึ้งแต่ไม่เร่งเร้า ไม่บีบคั้นหรือเค้นหยดน้ำตา ลงท้ายด้วยการหักมุม จนกระทั่งคนที่ไม่คุ้นชินในการเล่าเรื่องแบบนี้ ซึ่งก็แทบทั้งหมดในตอนนั้น งงกันไปตามกันในการดูรอบแรก และก็เป็นที่มาของการดูซ้ำหลายๆรอบสำหรับความตราตรึง นี่คือเรื่องราวของพรหมลิขิต โชคชะตาที่เล่นตลก ของหนึ่งหญิงสาวผู้หัวใจแหลกสลายกับการสูญเสียชายที่รัก กับหนึ่งหนุ่มที่พบรักแท้แต่ยังไม่มีคำตอบให้หัวใจ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเริ่มต้นจากความบังเอิญ ความเมา และความเป็นคนดี แต่ไม่ว่าเหตุผลของแต่ละคนจะเป็นเช่นไร ความรักก็ได้พัฒนาบนความต่าง ที่มีคนหนึ่งคนยอมเดินเข้าไปหาทุกอย่างได้โดยไม่รู้ตัว แม้ว่า ถึงที่สุด อีกคนหนึ่งยังแข็งขืน ไม่สามารถยอมรับหัวใจตนเอง ที่มีอะไรเปลี่ยนแปลงข้างในแล้ว จึงเป็นที่มาของการทิ้งระยะห่างที่ต้นไม้ของเราบนเขา เพราะนี่คือหนังที่อาจดูขำขันในพฤติกรรม แต่ทุกพฤติกรรมที่อาจดูไม่ปกติธรรมดา ได้แฝงความรู้สึกบางอย่างไว้ข้างในให้หัวใจผู้ชมสัมผัส และเพราะอะไรคนหนึ่งคน จึงยอมทำทุกอย่างเพื่อคนอีกคนโดยปราศจากข้อแม้ใด มันอาจไม่หวือหวา ไม่หวาน แต่มันสามารถซึมซับลงสู่หัวใจได้ที่ละน้อย แลมันซึมลึกโดยที่ผู้ชมไม่รู้ตัว ลึกจนกระทั่งกว่าจะรู้ตัว ผู้ชมก็รู้สึกไปกับคนทั้งสองคนทั้งหมดแล้ว ด้วยองค์ประกอบด้านภาพที่สวยจนดูแปลกตาจากหนังสมัยนั้น และเพลงที่มาประกอบภาพที่เห็นตรงหน้าก็เป็นที่น่าจดจำ พิมพ์มาถึงตรงนี้ แว่วเสียงเพลง I Belive ก็ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ทำให้หนังเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงตอนออกฉาย และตอนเป็น VCD ออกขาย และผู้เขียนเองก็คืออีกหนึ่งในนั้น ที่ถูกเสน่ห์ของยัยตัวร้ายดึงเงินในกระเป๋าไปอุดหนุน อีกสิ่งหนึ่งที่ส่งเสริมให้หนังได้ใจผู้ชมยิ่งขึ้น คือเสียงพากย์ไทย (สมัยนั้นการถดูหนังฟังเสียงต้นฉบับอ่านซับยังไม่เป็นที่นิยมและหาดูยากมาก) โดยทีมงาน พันธมิตร ที่ส่งให้หนังฮาหนักเข้าไปอีก ความน่ารักของ จอนจีฮยอน ความซื่อไม่มีพิษภัย (เพื่อเธอคนเดียว) ของ ชาแทฮยอน ทำให้ตัวละครทั้งสองเป็นที่รัก ไม่นับการเปิดโลกทัศน์ให้หนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยชาวไทย ได้ยลโฉมความงดงามของหญิงสาวทางฝั่งเกาหลีดูบ้าง หลังจากหลงไหลสาวจีนมานาน และ จอนจีฮยอน ก็เข้ามานั่งในดวงใจชายไทยในตอนนั้นทั้งสี่ห้อง (ก่อนการมาของ ซนเยจิน ที่ทำให้ต้องแบ่งใจ) และแล้ว หลังจากนั้นก็มีหนังเกาหลีตามมาอีกเป็นพรวน นับว่าเป็นการเริ่มยุคทองของหนังเกาหลีในบ้านเราเลยทีเดียวแต่ สิ่งหนึ่งที่ได้สัมผัสหลังดูรอบล่าสุดที่ผ่านมา กลับมีความรู้สึกเจ็บปวดและหงุดหงิดหัวใจไม่น้อย เนื่องจากฉบับที่ได้ดูเมื่อตอนหนังเข้ามาใหม่ๆ ไม่ว่ารูปแบบใดจะได้เห็นหนังเวอร์ชั่นเวลาฉายถ้าจำไม่ผิดประมาณ 90 นาทีกว่า ซึ่งก็เป็นมาตรฐานหนังที่ฉายตามโรงของไทยโดยเฉพาะหนังจีน แต่ฉบับที่ได้ดูล่าสุดกลับมีความยาวประมาณสองชั่งโมง และจากการดูมาแล้วหลายรอบ ก็พบว่ามีฉากที่ถูกตัดออกไปในฉบับที่เคยดูอย่างมากมาย และที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือแต่ละฉาก มีผลหรือมีส่วนสำคัญเกื้อหนุนให้บทสรุปที่บางคนงงในตอนจบให้สมเหตุสมผลและกระจ่าง แน่นอนว่าในฉบับที่เคยดูและถูกตัดออกไปแล้วนั้น ก็จัดว่าลงตัวแล้วในระดับที่น่าพอใจ แต่มีเลื่อนไขว่าถ้าไม่ได้มาดูเวอร์ชั่นนี้ แต่พอมาได้ดูเวอร์ชั่นที่ไม่ถูกตัด กลับมองเห็นว่าการตลาดด้านเวลาฉาย ได้ทำลายความสมบูรณ์ของหนังลงไปอย่างไม่น่าให้อภัยเอาง่ายๆคือฉบับที่เคยดูนั้น หนังก็มีบทสรุปที่กระจ่างแม้มันหักมุมและงงบ้าง แต่กับฉากที่ถูกตัดออกไปนั้น เป็นส่วนเสริมความสมเหตุสมผล เลยทำให้บทสรุปชวนงงอย่างที่เป็นในการดูรอบแรก จนต้องมาเก็บรายละเอียดอีกหลายรอบจึงถึงบางอ้อ อีกประการคือเนื่องจากการที่ฉบับนี้ไม่มีเสียงไทยต้นฉบับเดิมของพันธมิตรแล้ว และช่วงหลังผู้เขียนนิยมการดูเสียงเกาหลีอ่านซับ เลยมีความรู้สึกส่วนตัวว่า บทพากย์ไทยฉบับเดิมแม้จะสนุกสนานและตลกได้ดังเจตนา แต่ถ้าว่ากันที่บทหนังจริงๆ กลับกลายเป็นเลอะและล้นไป เพราะตัวหนังและบทมันตลกอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว และการกลับมาดูซ้ำรอบนี้ในฉบับที่ไม่ได้ตัดทอน ได้เห็นความสมบูรณ์ของเรื่องราว ได้ดูเคมีที่ลงตัวกันที่สุดของคู่พระนาง เลยทำให้ยิ่งดูยิ่งประทับใจ แม้จะรู้เรื่องราวและตอนจบมาก่อนแล้ว แต่ความซาบซึ้ง อิ่มเอมในใจ ยังคงมีให้เต็มเปี่ยม จึงไม่แปลกที่ใครหลายๆคน จะยกให้เป็นหนังรอมคอมเกาหลีที่เข้าขั้นคลาสสิค เป็นหนึ่งในงานทีดีที่สุดตลอดกาลอีกเรื่องหนึ่ง ด้วยบทที่ดี การแสดงที่คนดูรัก จึงคู่ควรด้วยประการทั้งปวงแม้ว่าตอนนั้น ซึ่งก็พอเข้าใจ ว่าทางค่ายหนังอาจกังวลเรื่องเวลาฉาย และพฤติกรรมคนดูในสมัยนั้น ที่ยังยึดติดกับการดูหนังจีนที่เวลาฉายไม่ค่อยเกินชั่วโมงครึ่ง แต่กระนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ค่ายหนังอย่าง นนทนันท์เอนเตอร์เทนเม้น ก็นับได้ว่าคือผู้บุกเบิกหนังเกาหลี และสร้างคุณูปการต่อวงการบันเทิงเกาหลีในบ้านเรา ที่ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ในด้านของหนังอาจมีเข้าฉายน้อยลงตามวงจรชีวิต ที่เมื่อมีหนังเกาหลีเข้ามากมาก และหนังในแต่ละชนชาติก็ย่อมมีดีมีแย่ การเข้ามามากใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ในที่สุด หนังเกาหลีก็ต้องพบชะตากรรมเช่นเดียวกับหนังจีน นั่นคือเหลือพื้นที่ไม่มากในโรงฉายบ้านเรา แต่ก็กลายเป็นเหลือแต่งานที่ถึงพร้อมทางคุณภาพมากขึ้น แต่เมื่อพฤติกรรมคนดูเปลี่ยนไป เราจึงได้ดูหนังเกาหลีดีๆที่ไม่ได้ฉายโรงตามช่องทางต่างๆมากมาย และถ้านับรวมถึงซีรีส์เกาหลี ก็จัดว่าได้รับอานิสงค์จากการนี้เช่นกัน แม้ว่าปัจจุบันค่ายหนังอย่าง นนทนันท์ อาจล้มหายตายจากไปจากวงการ แต่ต้องขอบคุณที่ได้สร้างชื่อ ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม ให้ได้จารึกไว้ และนี่คืองานระดับขึ้นหิ้งอีกชิ้นหนึ่งในฐานะหนังเกาหลีอย่างไม่ต้องสงสัยรำลึกความทรงจำโดยดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก จาก Facebook My Sassy Girl (Korean)ภาพที่ 1 /ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / จาก Facebook Viu Thailandภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 จาก Facebook tvN Moviesเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !