รีเซต

[รีวิวซีรีส์] "Yu Yu Hakusho คนเก่งฟ้าประทาน" บู๊เข้ม ๆ มีดี(แค่)ที่ตอนแรก

[รีวิวซีรีส์] "Yu Yu Hakusho คนเก่งฟ้าประทาน" บู๊เข้ม ๆ มีดี(แค่)ที่ตอนแรก
แบไต๋
16 ธันวาคม 2566 ( 15:00 )
731

เรื่องย่อ: อุราเมชิ ยูสุเกะ ขาโจ๋จิตใจดีวัย 17 ปี เกิดประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ยมโลกได้เสนอทางเลือกให้กลับไปมีชีวิตโดยแลกกับการเป็นนักสืบโลกวิญญาณคอยจัดการคดีที่มีปีศาจเป็นต้นเหตุ

เน็ตฟลิกซ์ยังคงได้ลิขสิทธิ์ดัดแปลงมังงะดังที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เอาผู้กำกับ อดัม วิงการ์ด (Adam Wingard) มาลองทำ ‘Death Note’ (2017) ฉบับฮอลลีวูดจนคนสาปส่ง จนปีล่าสุดมีซีรีส์อย่าง ‘One Piece’ (2023) ที่ได้รับคำชมมากมายจากทั้งแฟนมังงะและคอซีรีส์ทั่วไป ซึ่งการประสบความสำเร็จของแก๊งโจรสลัดก็ทำให้แฟนมังงะหลายคนจับตามมองว่า ‘Yu Yu Hakusho’ หรือชื่อที่นักอ่านชาวไทยคุ้นเคย ‘คนเก่งฟ้าประทาน’ จะออกมาอย่างไร จะแป้กหรือจะปัง

ครั้งนี้เน็ตฟลิกซ์เลือกใช้บริการผู้สร้างจากญี่ปุ่นที่เข้าใจต้นฉบับอย่างดี คล้ายกับที่ให้ผู้กำกับที่เชี่ยวชาญการดัดแปลงมังงะโชเน็นอย่าง ซาโตะ ชินสุเกะ (Sato Shinsuke) ได้ทำ ‘Alice in Borderland’ (2020-2022) จนประสบความสำเร็จ

แต่น่าสนใจตรงผู้กำกับที่เน็ตฟลิกซ์มอบโจทย์ให้ทำมังงะเด็กผู้ชายระดับตำนานผลงานของอาจารย์โทงาชิ โยชิฮิโระ (Togashi Yoshihiro) ตั้งแต่ปี 1991 นั้น กลับเป็นผู้กำกับที่ชำนาญการดัดแปลงมังงะเด็กผู้หญิงแนวดราม่าพรากน้ำตาอย่าง ทซึกิคาวะ โช (Tsukikawa Shô) จากหนัง ‘Let Me Eat Your Pancreas ตับอ่อนเธอนั้น ขอฉันเถอะนะ’ (2017) มาแทน อาจเพราะแม้คนเก่งฟ้าประทานจะว่าด้วยเรื่องราวการต่อสู้กับปีศาจ แต่มันก็เต็มไปด้วยเงื่อนไขของตัวละครที่มากด้วยดราม่า

ตั้งแต่ตัวพระเอกอุราเมชิ ที่ภายนอกดูเป็นเด็กเกเรชอบต่อยตีแต่เนื้อแท้เป็นคนรักความถูกต้อง ขณะที่ตัวเขาเองรู้สึกว่าแม่ของเขาไม่สนใจไยดีแต่เมื่อเขาตายลงก็พบว่าแม่เขาแตกสลายอย่างสาหัส หรือแม้แต่ฝั่งตัวร้ายเอง เราก็จะได้เห็นว่าอะไรคือสาเหตุหรือแรงขับที่ทำให้พวกเขาเป็นทำสิ่งที่เรียกว่าเลวร้าย ซึ่งด้วยเวลาในการบิ้วและขยี้ดราม่าที่ขำกัดมาก ๆ การเลือกใช้งานทซึกิคาวะก็นับเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล และการเดินเรื่องปมดราม่าต่าง ๆ ในช่วงตอนที่ 1 ที่รายล้อมการตายของพระเอกจนเขาตัดสินใจกลับมามีชีวิต มันก็ทำได้น่าสนใจเอามาก ๆ

ซึ่งการเลือกนักแสดงมาขับเรื่องราวนี้ก็ถือว่าไม่ได้ขัดตาขัดใจมากนัก และยังเป็นการเลือกนักแสดงสายฝีมือมาผสมดาวรุ่งได้กำลังดีเลย

โดยภาระด้านการออกแบบการต่อสู้ที่เป็นอีกหัวใจของเรื่อง ก็เลือกใช้ผู้กำกับคิวบู๊มืออาชีพอย่าง โออุจิ ทาคาฮิโตะ (Ôuchi Takahito) ที่มีผลงานที่สร้างเอกลักษณ์ให้จดจำจากฉากดวลดาบในหนัง ‘Rurouni Kenshin’ หรือ ‘ซามูไรพเนจร’ มาทำงานร่วมกับจอมเทคนิคพิเศษ ซากากุชิ เรียว (Sakaguchi Ryo) ที่มีผลงานระดับโลกจากหนัง ‘The Day After Tomorrow’ (2004) จนถึง ‘Eternals’ (2021) นำมาซึ่งเทคนิคด้านการเคลื่อนกล้องกับคิวบู๊และงานซีจีที่ใช้กล้อง 170 ตัวถ่ายแบบ 360 องศา ทำให้เราได้ชมฉากต่อสู้ที่แปลกตาและมีการเคลื่อนกล้องที่สนุกมากเพราะผู้กำกับเลือกภาพจากกล้องที่ต้องการได้เลย ตรงนี้คิดว่าเป็นจุดเด่นของซีรีส์เลย และฉากโชว์ครั้งแรกด้วยการให้พระเอกต่อกรกับเพื่อนร่วมห้องที่กลายร่าง มันก็สุดยอดจนขนลุกเลย เพราะมันเดือดมาก ๆ

ทว่าที่ชื่นชอบมาทั้งดีไซน์ที่รักษาภาพลักษณ์จากการเลือกนักแสดงมาค่อนข้างดี และนำเสนอผ่านคอสตูมได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับ มีการเล่าเรื่องดราม่า และแอ็กชันที่สนุก ทั้งหมดมันก็พีกสุดเอาแค่ตอนแรก ๆ เท่านั้น เพราะยิ่งซีรีส์หน่วงไปถึงตอนที่ 3 ก็เห็นร่องรอยปัญหาที่ชัดมากจนน่าผิดหวัง นั่นคือการอัดเนื้อหาจากมังงะกว่า 12 เล่มครึ่ง ให้เหลือเป็นหนังยาว 5 ตอน ซึ่งแม้ทีมสร้างจะเลือกเอา มิชิมะ ทัตซึโระ (Mishima Tatsuro) ที่เคยย่อยมังงะหลายเล่มมาเขียนบทหนัง ‘Zom 100: Bucket List of the Dead’ (2023) ออกมาได้ลงตัวพอประมาณ แต่กับคนเก่งฟ้าประทานนั้นต้องเรียกได้ว่า ถ้าไม่นับตอนที่ 1 แล้ว ที่เหลือนับว่าตัดจนเละเทะเลย หลายฉากยัดเยียดให้เดินต่อกันไปแบบไม่มีการเชื่อมทางตรรกะหรืออารมณ์เลย

ใครไม่เคยอ่านมังงะมาก่อนคงรู้สึกเรื่องเดินไวจนอาจเกือบดูไม่รู้เรื่องว่ามันไปรู้จักกันตอนไหน มันไปตัดสินใจแบบนั้นได้ไง รวมถึงรู้สึกว่าการคลี่คลายของเรื่องราวมันช่างเชยเหลือใจ ทั้งการเปิดปมปัญหา การต่อสู้แบบโดนอัด-อัดกลับด้วยพลังมิตรภาพ-ตัวร้าย/หรือพระเอกเพิ่มพลังเปลี่ยนร่าง-โดนยำ-ใช้ไม้ตาย-ชนะ ที่มันอาจเคยดูสนุกในยุค 1990 แต่มันช่างดูไร้รสนิยมเหลือเกินในยุคนี้ ยิ่งซีรีส์เอามุกนี้ใช้แบบติด ๆ กันในการต่อสู้ของเพื่อนพระเอกจนมาถึงพระเอก คือถ้าทั้งซีซันมันใช้มุกนี้แค่ครั้งเดียวก็อาจยังพอไม่รู้สึกว่าคนสร้างหมดมุกได้บ้าง

ในขณะที่คนอ่านมังงะมาก็คงรู้สึกเสียดายว่าสิ่งที่มันตัดไปล้วนจำเป็นต่อการบิ้วอารมณ์ในการต่อสู้ให้เข้มข้นขึ้น ปูมหลังหรือเรื่องราวของตัวละครแต่ละตัวโดยเฉพสะพวกตัวร้ายที่หายไปทำให้เสน่ห์ของเรื่องราวมันหายไปด้วย ที่น่าเสียดายมากคือเนื้อหาส่วนของการประลองแบบทัวร์นาเมนต์ในช่วงเนื้อเรื่องก่อนจะได้สู้กับโทงูโระ ที่น่าจะทำให้ซีรีส์ชุดนี้มีอะไรที่น่าจดจำต่างจากซีรีส์เรื่องอื่น ๆ ด้วย

ซึ่งก็เข้าใจโจทย์ของทีมสร้างที่กลัวไม่ได้สร้างซีซันต่อและอยากเอาให้ถึงฮุกสำคัญคือตัวร้ายที่ทรงเสน่ห์อย่างพี่น้องโทงูโระแทนที่จะเอาให้จบแค่ช่วงของการปะทะกับ 3 ปีศาจที่ขโมยอุปกรณ์แห่งความมืดที่น่าจะลงกับเวลา 5 ตอนได้สวย ๆ มากกว่า แต่ถ้าคิดถึงใจผู้ชมแล้วมันก็ใจร้ายพอควร ที่เขาคิดว่าจะเอาโปรดักชันที่ทำได้ค่อนข้างดีอย่างฉากแอ็กชันหรือซีจีมามัดมือชกว่ามันก็โอเคพอแล้วนะสำหรับแฟนมังงะที่เฝ้ารอชมฉบับคนแสดงแบบนี้

สนุกพอประมาณ แต่น่าเสียดายมากครับ