Series ReviewGyeongseong Creature สัตว์สยองกยองซอง (2023)เมื่อได้เสน่ห์ของ "ฮันโซฮี" กับ "พัคซอจุน" มายกระดับงานสยองขวัญตามสูตรให้มีหัวใจส่งให้เป็นความบันเทิงที่คุ้มค่าถ้าจะเอ่ยถึงนักแสดงเบ้าหน้าฟ้าประทานจากทางเกาหลีชื่อของฮันโซฮีคงเป็นชื่อแรกที่ผู้เขียนนึกถึงเพราะคนอะไรจะนางฟ้าได้ปานนั้นประหนึ่งสวรรค์ลำเอียงมอบความสวยมาให้เธออย่างไม่มีกั๊ก กระนั้นต่อให้ความสวยระดับดึงดูดทุกสายตาแต่เมื่อเป็นนักแสดงฝีมือทางการแสดงต้องเข้าขั้นด้วยเพราะบ่อยมากที่คนสวยแต่แสดงไม่ได้เลยโดนคนสวยน้อยกว่าขโมยซีน แต่นั่นไม่ใช่กับฮันโซฮีเพราะเท่าที่ผู้เขียนดูงานแสดงของเธอมาหลายเรื่องต้องยอมรับว่าไม่เป็นรองใครทำให้เมื่อมาตรฐานการแสดงมันได้พลังดาราก็มา ซึ่งพลังดารานี่เองที่จะสามารถดึงดูดสายตาคนดูก่อนแล้วเมื่อการแสดงสามารถสื่อสารในสิ่งที่บทต้องการสื่อออกมาได้อย่างสมบูรณ์ก็ไม่มีใครสามารถแย่งซีนหรือแย่งความเด่นไปได้ แล้วถ้าได้บทที่ธรรมดาอาจไม่มีอะไรซับซ้อนแต่ความสวยอย่างฮันโซฮีที่มีพลังบวกกับการแสดงที่ได้ก็ทำให้บทของตัวละครที่เธอได้รับกลายเป็นมีอะไรหรือเรียกได้ว่ามีหัวใจขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับซีรีส์ใหม่ของเธอเรื่องนี้ที่ทุกอย่างในความเป็นฮันโซฮีทำให้น่าดูขึ้นอย่างน่าประหลาดยิ่งได้เข้าคู่กับพัคซอจุนก็ยิ่งไปกันใหญ่ในปี 1945 ที่เมืองกยองซองประเทศโชซอนในช่วงที่ถูกญี่ปุ่นยึดครองที่คนโชซอนเหมือนเป็นประชากรชั้นสองที่ถูกกดขี่ แต่ยังมีคนที่อยู่เป็นเช่นจางแทซัง (พัคซอจุน) ที่เปิดธุรกิจโรงจำนำจนร่ำรวยระดับคหบดีแถมยังมีรูปเป็นทรัพย์ วันหนึ่งจางแทซังถูกจับไปโดยถูกยื่นเงื่อนไขให้ตามหาอนุภรรยาของผู้บัญชาการตำรวจชาวญี่ปุ่นที่หายไปซึ่งถ้าหาไม่เจอทุกอย่างที่เป็นของจางแทซังในกยองซองจะต้องถูกยึด อีกด้านหนึ่งยุนแชอ๊ก (ฮันโซฮี) กับพ่อของเธอเดินทางจากแมนจูเพื่อตามหาแม่ที่หายไปโดยมีเบาะแสเดียวคือรูปวาด ทว่าจางแทซังก็ไม่สามารถตามหาคนที่ตัวเองต้องหายุนแชอ๊กก็หาคนที่ตัวเองหาไม่เจอทั้งสองจึงแลกเปลี่ยนกันในการตามหาคนสองคนโดยที่เบาะแสพาพวกเขามาถึงโรงพยาบาลองซองที่เป็นโรงพยาบาลของทหารญี่ปุ่น และที่นี่มีการจับเอาคนโชซอนมาทดลองบางอย่างอย่างโหดร้ายแล้วก็มีการทดลองหนึ่งที่ประสบผลเมื่อหนึ่งคนในนั้นได้กลายร่างเป็นสัตว์สยองกระหายเลือด แต่จางแทซังและยุนแชกอ๊กกำลังจะเดินเข้าไปหามันที่โรงพยาบาลโดยที่หารู้ไม่ว่ามีอะไรรอพวกเขาอยู่เหมือนเอาสัตว์ประหลาดมาขายแต่ความจริงยังไม่พ้นเรื่องบาดแผลของการถูกกดขี่รุกรานแต่ก็เข้ากันดี หน้าหนังคือเรื่องของสัตว์ประหลาดแน่นอนเพราะเอาตรงนี้มาขายซึ่งก็ไม่ผิดแต่เอาเข้าจริงแก่นแท้ของเรื่องยังไม่พ้นเรื่องบาดแผลของชนชาติที่เคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนเรื่องการถูกรุกรานจากต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่น ทำให้แกนกลางของเรื่องเป็นเรื่องของการต่อต้านและกอบกู้ศักดิ์ศรีของชาวโชซอนที่มีมาทุกองค์ประกอบ แล้วเอาเรื่องของการทดลองกับมนุษย์ของทหารญี่ปุ่นมาเป็นชนวนเชื้อไฟให้เรื่องเดินไปโดยทีทิศทางคือหนังสยองขวัญสัตว์ประหลาดที่เคยเห็นทั่วไปอีกแล้ว และถ้าว่ากันที่หนังสัตว์ประหลาดก็มีทุกองค์ประกอบเช่นกันเพียงแต่คราวนี้เปลี่ยนพื้นหลังมาเป็นยุคโบราณเท่านั้นแต่ถ้ามองให้ดีเส้นเรื่องก็ไม่ต่างจากหนังแนวนี้ที่อาจไปนอกอวกาศหรืออยู่ไต้น้ำ กระนั้นทั้งสองอย่างกลับเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาดเพราะสองเรื่องเดินไปด้วยกันได้ดีไม่มีอะไรหลุดออกนอกทาง แต่จะเห็นเป็นว่าสัตว์ประหลาดเป็นเรื่องรองเพราะเอาจริงตัวร้ายที่แท้จริงไม่ใช่สัตว์ประหลาดแต่เป็นทหารญี่ปุ่นเช่นเดิมดูไปก็คล้ายเป็นของเก่าเล่าซ้ำแต่ความต่างคือมีอะไรเบื้องหลังเรื่องที่เล่าทำให้เป็นความบันเทิงสำเร็จรูปที่มีหัวใจ อย่างที่บอกไปในย่อหน้าที่แล้วคือไม่ได้ต่างไปจากงานที่เคยผ่านตามาทั้งสองแนวที่อย่าให้ร่ายชื่อเรื่องเลยเพราะมันเยอะ แต่สิ่งที่ทำให้อะไรที่เคยเห็นมามีความต่างไปคือการวางมิติที่อยู่เบื้องหลังนอกเหนือไปจากเรื่องของชาติและศักดิ์ศรีที่นั่นมันของตาย เช่นเอากันที่ตัวละครทั้งสองคนที่เป็นตัวหลักคือจางแทซังกับยุนแชอ๊กก็ต่างมีอะไรในใจต่างกันที่เห็นเบื้องหน้าไม่ใช่สิ่งที่แท้จริงแล้วเอาเรื่องนี้มาผูกเป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มเห็นมิติทางหัวใจ นั่นหมายความว่าการเล่าเรื่องออกมาเป็นรูปประโยคแต่เมื่อมาแค่ภาคแรกรูปประโยคจึงยังไม่ครบคือมีแค่ประธานกับกริยาแต่กรรมจะต้องไปหาคำตอบที่ภาคสอง เพราะเมื่อรูปประโยคออกมาเกือบสมบูรณ์แล้วนั้นสิ่งที่จะมาจัดการอารมณ์ก็จัดการได้เพราะไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีอาการขมในคอขอบตาอุ่นกับหนังสยองสัตว์ประหลาด ซึ่งงานแนวนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นความบันเทิงสำเร็จรูปเพราะจะมีความตื่นเต้นเร้าใจในตัวเองตามแนวเพียงแต่เรื่องนี้มีหัวใจไม่กลวงใช้เวลาปูเรื่องไม่นานแล้วก็เข้าสู่ความตื่นเต้นระทึกขวัญที่สนุกแต่น่าเสียดายที่บางอย่างไม่ได้ใส่มา อีกสิ่งที่ต้องชื่นชมคือการเล่าเรื่องที่ไม่ใช้เวลาปูเรื่องนานจนเกินรอเพราะเริ่มต้นที่สองตอนแรกคือการแนะนำตัวละครที่ฉากหน้าเพื่อที่จะพัฒนากันต่อไป แต่อะไรที่ควรเล่าควรเปิดก็ไม่มีปิดบังหรืออาจเรียกได้ว่าไม่ได้ตั้งท่ามาหักมุมก็คงว่าได้สำหรับภาคแรกนี้ จนเมื่อทุกอย่างเข้าที่ความบันเทิงก็มาในรูปแบบความตื่นเต้นระทึกขวัญเพราะอย่างที่บอกคืองานแนวนี้หนังสัตว์ประหลาดจะมีความตื่นเต้นในตัวของมันตามสูตรสำเร็จ แล้วเดินไปควบคู่กับเรื่องของอารมณ์รักชาติที่อาจไม่ใส่มาจนแรงจัดเพราะยังอยากขายสัตว์ประหลาดแต่ใช้มาเดินเรื่องเพื่อชี้ให้เห็นความโหดร้ายที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกัน จึงทำให้ดูสนุกในทุกตอนและแม้จะไม่สงสัยอะไรก็ยังอยากรู้เพราะใช้ลูกเล่นในสถานที่ปิดตายตามแบบหนังสัตว์ประหลาดทำให้ได้ลุ้นว่าใครจะตายใครจะรอด แต่น่าเสียดายที่ความสยองไม่มาเต็มที่เพราะเล่าเรื่องสองทางโดยที่สัตว์ประหลาดเป็นตัวแปรความสยองเลยน้อยไปแต่ก็ไม่แน่อาจจะมาในภาคสองก็เป็นได้เสน่ห์ล้นๆของ "ฮันโซฮี" ที่เปล่งประกายจนน่าลุ่มหลงผนวกกับเคมีที่เข้ากับ "พัคซอจุน" ได้ช่วยใส่หัวใจลงในเรื่องตามสูตร ด้วยความที่นี่คืองานตามสูตรสองสูตรที่มาผนวกกันแต่เข้ากันดีอย่างที่ว่าทำให้ตลอดเจ็ดตอนมีความสำเร็จรูปอยู่ในตัว แต่สิ่งที่ทำให้งานตามสูตรแบบนี้มีหัวใจนั่นเพราะเมื่อบทตั้งใจใส่หัวใจลงไปในตัวเรื่องผ่านตัวละครแล้วนักแสดงรับผิดชอบได้ดี สิ่งที่เห็นคือเคมีที่ข้ากันดีระหว่างฮันโซฮีกับพัคซอจุนที่ไม่ใช่เอะอะก็ปิ๊งกันแต่มันต้องผ่านอะไรมาด้วยกันซึ่งก็คือการทำให้คนสองคนรู้สึกในเสน่ห์ของกันและกันที่ถ้าลงลึกไปอีกคือเสน่ห์ที่อยู่ข้างใน ในขณะที่เสน่ห์ภายนอกก็ชวนให้ลุ่มหลงเต็มที่สำหรับฮันโซฮีที่ในสายตาคนดูผู้ชายอาจมองว่าพลังงานบางอย่างของเธอดึงดูดสายตาได้มากกว่าพัคซอจุนด้วยซ้ำ แล้วยิ่งมาได้การแสดงอารมณ์ที่ต้องทึ่งในฉากเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่เชื่อเถอะว่าเล่นกับบลูสกรีนทั้งที่ตัวละครของเธอมิติไม่ได้หลากหลายมากมายด้วยซ้ำ กระนั้นพัคซอจุนก็ยังเป็นพัคซอจุนที่ไม่มีทางจะโดนกลบฝังเขายังมีเวลาที่น่าจดจำเช่นเดียวกับคลอเดีย คิมความจริงเรื่องแบบนี้ถ้าทำเป็นหนังโดยเล่าสักสองชั่วโมงก็ได้แต่เก่งมากที่ทำให้ไม่รู้สึกว่ายืด เอาจริงหนังแนวนี้มักจะมาในเวลาประมาณสองชั่วโมงจะดีมากเพราะจะทำให้อึดอัดลุ้นระทึกเพื่อไปสู่จุดสูงสุดในตอนท้าย ซึ่งเจ็ดตอนนี้ถ้าจะทำก็ทำได้เพราะถ้าว่ากันที่ในส่วนของสัตว์ประหลาดไม่มีอะไรมากมายเลยเรื่องให้เล่ามีนิดเดียว แต่ที่เจ๋งคือการวางเรื่องสัตว์ประหลาดลงบนดราม่าบาดแผลของชนชาติแล้วเรื่องสองส่วนนี้ก็เดินหน้าไปด้วยกันอย่างมั่นคง สิ่งที่ตามมาคือเรื่องสัตว์ประหลาดอาจมีพื้นที่ให้เล่าไม่มากแต่เรื่องดราม่าหลักกลับมีอะไรให้เล่าเยอะทำให้ไม่รู้สึกว่าเรื่องถูกยืดออกมาเพราะเรื่องที่เล่าก็เป็นเรื่องหลักอยู่ดี นั่นหมายความว่าเวลาเดินไปแบบไม่น่าเบื่ออาจขาดความสยองไปบ้างแต่เรื่องดราม่าก็ทำงานกันได้ดีตามแบบเกาหลีมีอารมณ์ขันมาให้ผ่อนคลายบ้าง แต่ที่จะตำหนิก็ไม่กล้าคือการทิ้งตัวละครบางไปโดยไม่เห็นเลยในช่วงหลังแต่ก็ยังว่าไม่ได้เพราะเหลืออีกสามตอนที่จะตามมา แล้วสำหรับเจ็ดตอนในภาคแรกนี้ก็คือความบันเทิงที่คุ้มค่าเพราะแค่ดูเบ้าหน้าฟ้าประทานของฮันโซฮีก็มีความสุขแล้วดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก 1,2 / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 จาก Instagram netflixkr ภาพที่ 8 จาก Instagram netflixth ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/pgmrLKp6vNLBhttps://entertainment.trueid.net/detail/yqGjG6kxEK0lhttps://entertainment.trueid.net/detail/1WXMndBep7aYhttps://entertainment.trueid.net/detail/NYOw209dzmVY ติดตามข่าวสาร คอนเทนต์เด็ด ๆ ก่อนใคร อย่าช้า โหลดเลยที่ TrueID !!