เรามีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อต้นปีผ่านมาแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้มาแสดงมุมมองของตัวเองที่มีต่อหนังเรื่องนี้เลย เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังโปรดที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งสำหรับปี 2019 จึงอดไม่ได้ที่จะเอามันมาปัดฝุ่น แบ่งปันเรื่องราวแง่คิดผ่านตัวละครสะท้อนเข้ามาที่ว่าเราได้อะไรบ้างจากหนังเรื่องนี้Green Book เป็นเรื่องราวของคนหนังดนตรีผิวสีที่ต้องเดินทางไปเล่นดนตรีทั่วเมือง ชื่อว่า “ดอน เชอร์ลีย์” ดอนต้องการคนขับรถพาเขาไปแสดงดนตรียังเมืองต่าง ๆ จนได้พบกับ “โทนี่ ลิป” ตอนแรกโทนี่ไม่รับงานคนขับรถนี้ เพราะเห็นว่า ดอนเป็นคนผิวสีหนังสะท้อนให้เห็นว่า โดยทั่วไปเรามักอดไม่ได้ที่จะตัดสินคน ๆ หนึ่งไปแล้ว ทั้งที่เรายังไม่ได้รู้จักเขาดีพอ อาจด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น บุคลิก ลักษณะ หน้าตา ท่าทาง หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือ เราถูกกรอบทาง “สังคม” บีบบังคับให้เราคิดแบบนั้น หรือตัดสินใจแบบนั้น เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในยุคที่มีการเหยียดสีผิวอย่างมาก สังคมตีความว่าการมีคนผิวสีอยู่ในสังคมคนผิวขาวเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แม้ผู้คนจะมีการศึกษาที่ดี มีฐานะร่ำรวย แต่ก็ถูกกรอบทางสังคมบีบให้ต้องคิดแบบนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ โทนี่ จะไม่รับงานกับ ดอน ในตอนแรก แต่เมื่อสถานะทางการเงินบีบบังคับ โทนี่จึงจำเป็นจะต้องรับงานคนขับรถให้ดอนแม้จะไม่เต็มใจ ในหนังเผยให้เห็นบุคลิกที่แตกต่างอย่างสุดขั้วของสองคนนี้อย่างชัดเจน โทนี่เป็นคนตรงแบบขวานผ่าซาก ไม่แคร์ใคร และโมโหร้าย ในขณะที่ดอน เป็นคนที่สุภาพ แคร์ทุกอย่างที่เข้ามา รวมไปถึงการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง เมื่อมองผ่านบุคลิกของตัวละคร ทำให้เรารู้สึกเห็นใจดอนอย่างมาก เนื่องจากดอนเป็นคนผิวสีที่อยู่ในยุคที่มีแบ่งแยกเรื่องชีวิตอย่างชัดเจน ทำให้ดอนไม่สามารถทำทุกอย่างตามที่ตัวเองอยากจะทำได้ จึงทำได้แค่อยู่อย่าง "เจียมตัว” แม้ดอนเองจะมีฐานะร่ำรวยก็ตาม ตรงข้ามกับโทนี่ ที่เป็นคนผิวขาว เขาสามารถจะทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่ง “การขโมยของ” ก็ตามสุดท้ายแล้วเมื่อทั้งสองคนได้ชีวิตอยู่ด้วยกัน หลาย ๆ ครั้ง โทนี่พบว่า ดอนเป็นคนที่ดี จริงใจ และซื่อสัตย์คนหนึ่ง ส่วนดอนก็พบว่า โทนี่เป็นคนที่คอยผลักดอนออกมาจากกรอบทางสังคมที่ขัดเส้นแบ่งระหว่าง ผิวขาว-ผิวสี ให้กล้าลุกขึ้นมาโต้ตอบทางคำพูดหรือการกระทำบ้าง แม้จะเป็นเรื่องยากกับการต่อต้านสังคมที่โหมรุมทำร้ายดอน แต่การรู้ว่าเรามี “เพื่อน” สักคนหนึ่งที่คอยอยู่ด้านหลังผลักให้เราเดินหน้าต่อไป มันก็ทำให้เรามีพลังอย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน ตอนจบของหนังเป็นสิ่งที่เราชอบมากที่สุดจริง ๆ หลังจากกลับจากการแสดงดนตรี ซึ่งตรงกับวันคริสต์มาสพอดี โทนี่ไม่สบายหนักจนขับรถไม่ได้ ดอนจึงขับรถต่อไปส่งโทนี่ที่บ้าน ก่อนกลับโทนี่เอยปากชวนดอนมากินเลี้ยงคริสต์มาสด้วยกัน แต่ดอนปฏิเสธเพราะญาติของโทนี่จะรับไม่ได้ สุดท้ายดอนกลับบ้านแล้วพบว่า เขาไม่สามารถทนกับการไม่มีเพื่อนแล้วต้องฉลองคริสต์มาสคนเดียวอีกแล้ว สุดท้ายดอนจึงกลับไปหาโทนี่ ฉากจบเราถึงกับน้ำตาซึม เพราะไม่เพียงแต่ดอนไปหาโทนี่แล้ว โทนี่ยังเปิดประตูต้อนรับดอน พร้อมโอบกอดด้วยความเต็มใจ เขาแนะนำทุกคนรวมถึงภรรยาให้รู้จักกับดอน “เพื่อนแท้ของเขาอีกคนหนึ่ง”หลายครั้งแล้วที่เราตัดสินคนอื่น ๆ ผ่านรูปลักษณ์ภายนอก และตัดความสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นโดยยังไม่เปิดใจ เราอาจไม่โชคดีแบบโทนี่ที่มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับดอนจนรู้ว่า ดอนคือเพื่อนที่ดี และเป็น “เพื่อนแท้” ของเขาอีกคน หากได้มีโอกาสในการทำความรู้จักคนใหม่ ๆ เราจะเปิดโอกาสในการเรียนรู้พวกเขาพร้อมกับเรียนรู้ใจตัวเองไปด้วย เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียโอกาสที่จะมี “เพื่อนดี ๆ”อีก 1 คนเครดิตภาพ: https://www.greenbookfilm.com/gallery/