"มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะหมัดหนักแค่ไหน แต่มันสำคัญตรงที่คุณจะรับหมัดได้หนักแค่ไหน...และยังก้าวต่อไปได้" เป็นประโยคที่ไม่ยาวมากนักแต่กลับกระแทกใจคนอ่านได้ดี จริงอย่างเขาว่า แม้คนเราจะเก่งสักแค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับการรับมือกับปัญหาที่เข้ามา ปัญหาในชีวิตก็มีมิใช่น้อย มีรูปแบบที่หลากหลาย หมั่นเข้ามาทดสอบจิตใจอยู่เรื่อย ไม่มีปัญหาของใครที่หนักกว่าหรือเบากว่า เพียงแค่มีรูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงจำเป้นอย่างยิ่งที่เราจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง เตรียมให้พร้อมที่จะรับมือกับเรื่องราวที่ไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ภายในและภายนอก ภายในเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างมันด้วยตัวเอง ไม่มีใครสามารถช่วยเราได้ ความเข้มแข็ง ความเข้าใจ ทัศนคติ สิ่งเหล่านี้เราต้องหมั่นสร้างเสริมให้ตัวเองเป็นประจำ เพื่อที่เราจะสามารถรับหมัดที่จะเข้ามาได้อย่างไม่ยากลำบากนัก และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้เราได้ หนังสือที่ชื่อ The LAST LECTURE (ภาพถ่ายโดยนักเขียน) หนังสือ The LAST LECTURE เดอะลาสต์เลกเชอร์ เขียนโดย แรนดี เพาช์ และ เจฟฟรีย์ ซาสโลว์ แปลโดย วนิษา เรซ เป็นหนังสือที่อยู่ในหมวด จิตวิทยาและการพัฒนาตนเอง เป็นหนังสือเกี่ยวกับแรนดี เพาช์ ซึ่งเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นมะเร็งตับอ่อนและจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน ข่าวร้ายที่ไม่ว่าใครก็ต้องช็อกกันทั้งนั้น แรนดีและภรรยาของเขาก็เช่นกัน พวกเขาทั้งสองพยายามที่จะใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุดพร้อมกับลูกอีก 3 คน แรนดีพยายามอย่างมากที่จะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับเขาเพื่อให้ลูก ๆ ของเขาจะสามารถจดจำเขาได้ เขาเตรียมความพร้อมให้มากที่สุดเพื่อหลังจากที่เขาไม่อยู่ ภรรยาและลูก ๆ จะสามารถอยู่ได้ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้หนังสือรับเชิญจากมหาวิทยาลัยที่เขาสอนอยู่ โดยเชิญให้เขาขึ้นไปกล่าวปาฐกถาประจำปี ตอนแรกเขาคิดปฏิเสธเพราะอยากใช้เวลาที่เหลือกับครอบครัวให้มากที่สุด แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไปโดยมีเจ ภรรยาของเขาไปให้กำลังใจข้างเวที นี่จึงเป็นที่มาของชื่อหนังสือเล่มนี้ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พูดได้บอกในสิ่งที่อยากบอกกับคนทั่วไป แต่แรนดีรู้ดีแก่ใจว่าที่เขาทำไปเพื่ออะไร และทำเพื่อใคร ว่าแต่แรนดีได้พูดอะไรบ้างในการปาฐกถาครั้งนั้น และผู้ชมตอบสนองต่อเขายังไง สามารถหาคำตอบได้จากหนังสือเล่มนี้เลยค่ะ (ภาพถ่ายโดยนักเขียน) สิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้คือ ชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอนจริง ๆ วันนี้สุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่อีกไม่กี่วันก็กลับป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะฉะนั้นเราก็ควรใช้ชีวิตไม่ประมาท ในชีวิตจริงของเรา สิ่งที่สำคัญจริง ๆ มันมีไม่กี่อย่างหรอก และเราก็รู้ดี เพียงแต่เราจะให้ความใส่ใจให้กับมันมากแค่ไหนเท่านั้นเอง คนที่รู้คุณค่าก็จะดูแลรักษาเป็นอย่างดี แต่ก็เป็นไปได้ยากสำหรับยุคสมัยตอนนี้ บางครั้งจึงต้องมีตัวช่วยให้เราได้กลับไปคิดไตร่ตรองและกลับไปหาพวกเขาจริง ๆ อย่าให้ถึงวันนั้นเลย เอาวันนี้นี่แหละวันที่เรายังมีร่างกายแข็งแรงและพวกเขาก็ยังอยู่กับเรา สิ่งที่ประทับใจจากหนังสือเล่มนี้คือ ตัวผู้เขียน เพราะแรนดี เพาช์ เป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูง มีความเอาจริงเอาจังในการทำงาน เป็นครูที่ดีแก่ลูกศิษย์ เป็นตัวอย่างของครูคนหนึ่งที่น่าเป็นแบบอย่างได้ดี เป็นหัวหน้าครอบครัวที่น่ารักมาก ๆ แต่แรนดีเองก็เคยมีนิสัยไม่น่ารักเหมือนคนทั่วไป แกเป็นคนมีความรู้ มีความมั่นใจในตัวเองและมั่นใจในความรู้ของตัวเอง จนทำให้บางครั้งดูก้าวร้าวและหยิ่งไปบ้าง แต่แกก็ปรับตัวจนเป็นคนน่ารักในที่สุด (ขอบคุณภาพจาก pexels) "ผมรักที่จะขับรถเปิดประทุนไปไหนมาไหน ผมรักการที่ผมคิดว่าผมอาจเป็นผู้โชคดีหนึ่งในล้านที่เอาชนะมะเร็งระยะสุดท้ายได้ เพราะถึงที่สุดแล้วแม้ผมจะทำไม่ได้ แต่มันก็เป็นทัศนคติที่ช่วยให้ผมมีชีวิตผ่านไปได้ในแต่ละวัน" เป็นประโยคที่แรนดีบอกกับตัวเอง แต่กลับทำให้คนอ่านได้พลังในการใช้ชีวิตมากขึ้น ขอบคุณหนังสือดี ๆ ที่ได้เตือนสติตัวเองมากขึ้น หนังสือดีที่อยากบอกต่อ ว่าง ๆ ลองหาอ่านดูนะคะชื่อหนังสือ The LAST LECTURE เดอะลาสต์เลกเชอร์ เขียน แรนดี เพาช์ และ เจฟฟรีย์ ซาสโลว์ แปล วนิษา เรซ พิมพ์ ครั้งที่ 35 กรกฎาคม 2562สำนักพิมพ์ อมรินทร์ราคา 175 บาท