มรสุมชีวิต "นิก เดอะสตาร์" รายได้หาย ป่วยเกาต์ลามทั้งร่างกาย เหลือเงินเหรียญซื้อข้าวกิน
ชีวิตคนเรามีขึ้นแล้วก็มีลง เสมือนชีวิตสุดดราม่าอดีตนักร้องบ้านดาว "นิก เดอะสตาร์" หรือ "นิก รณวีร์" เจอมรสุมชีวิต งานหายรายได้ขาด วางแผนชีวิตในวงการผิดพลาด จากรายได้เดือนละแสนเหลือเพียงเงินเหรียญติดกระเป๋า ล่าสุดพร้อมเปิดใจผ่านรายการดัง "โต๊ะหนูแหม่ม" กับพิธีกรตัวแม่ "หนูแหม่ม สุริวิภา" เล่าประสบการณ์ชีวิตที่กำลังเผชิญ ร่วมไปถึงมรสุมครั้งใหญ่ป่วยหนักโรคเก๊าท์จนลามทั่วทั้งร่างกาย
มรสุมชีวิต "นิก เดอะสตาร์" รายได้หาย ป่วยเกาต์ลามทั้งร่างกาย เหลือเงินเหรียญซื้อข้าวกิน
เป็นอีกหนึ่งคนบันเทิงที่เจอวิกฤตชีวิตที่สาหัส?
"ชีวิตเราก็มีตามวัฏจักรงานมีขึ้นมีลง และงานก็ไม่ค่อยได้มีอย่างต่อเนื่อง แล้วมันก็ค่อยดรอปลงไป ปัญหามาจากที่ว่าพอ ซิทคอมผู้กองเจ้าเสน่ห์ปิดกล้องไป ใครจะไปคิดว่าซิทคอมที่เราเล่นมาเกือบตลอดชีวิต 12 ปีมันจะมีผลกระทบมาก จริงๆพี่มอสเคยเตือนแล้วนะว่านิกเราต้องวางแผนการใช้ชีวิต วางแผนการใช้เงินซึ่งเราตอนนั้นก็คิดว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไร ตอนนั้นผมคิดว่าผมยังได้รายได้จากผู้กองเจ้าเสน่ห์ ผมก็ยังมีงานร้องเพลง ซึ่งหลังจากซิทคอมปิดกล้องไปปีนึง ผับที่เราร้องอยู่ประจำก็ได้ปิดตัวไปด้วยเหมือนกัน ก็มันก็รู้สึกเคว้งคว้างเหมือนเงินที่เราได้ประจำเดือนละ 100,000 มันก็หายไปในพริบตา"
นอกจากไม่มีงานแล้วดันมาป่วยครั้งใหญ่อีกด้วย?
"คือต้องบอกว่าผมไม่เคยวางแผนในการใช้ชีวิต การใช้เงินหรือการใช้ร่างกายให้ถูกวิธี ไม่เคยออกกำลังกายเพราะคิดว่าเราเป็นบุคคลพิเศษที่มีพรสวรรค์ฟ้าส่งให้มา เราคิดว่าเราเหนือกว่าคนอื่นคงไม่มีวันป่วย พอวันนึงร่างกายเราทรุดโทรมมันก็เลยมีโรคมารุมเร้า ณ วันนั้นคือเป็นเก๊าท์ ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเราเป็นเก๊าท์รู้แค่ว่ามันเดินไม่ได้มันปวดหลัง เราปวดขาแล้วขาบวม พอปล่อยไว้มันก็เลยเป็นหนัก เพราะเราไม่ได้ไปหาหมอเลย"
อาการโรคเกาต์ที่เราเป็นมันหนักขนาดไหน?
"มันหนักมากครับ มันกระจายทั้งร่างกาย เจ็บหนักมากมจนมันไม่อยากทำอะไรเลย เจ็บไปครึ่งซีก มันขยับไม่ได้ครึ่งตัวเหมือนเข็มทิ่มอยู่ในตัวเรา มันปวดร้าวมากๆตามข้อต่างๆ"
เหตุการณ์ทั้งป่วย และมีปัญหาทางการเงินมันสอนอะไรเราบ้าง?
"มันสอนอะไรเราหลายๆอย่างในเรื่องการไม่วางแผนการเงิน ไม่เคยวางแผนชีวิตตั้งแต่แรกมันเลยทำให้เรามาถึงจุดนี้ ซึ่งคนอื่นเค้าไม่ได้เป็นเหมือนเราขนาดนี้อย่างพี่ป๊อบ ปองกุล เค้าก็เป็นเก๊าท์เหมือนกัน เขาก็ยังมีงานกับเค้าอยู่เพราะเค้าวางแผนในการใช้ชีวิตมาอย่างดี เราคิดว่าเราหลงระเริงกับชื่อเสียงที่เรามีอยู่ เราไม่น่าที่จะตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ พอมันเป็นแบบนี้เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น และค่อยแก้ไขไปเรื่อยๆทีละนิดทีละหน่อย ผมท้อมากผมไม่มีงานไม่มีเงินจนต้องเอาเหรียญมาซื้อข้าว ต้องเอาเหรียญมาซื้อน้ำอัดลม ซึ่งคิดว่าทำไมเรามาถึงในจุดนี้ มันไม่มีงานเลย แล้วเราก็คาดหวังว่าต้องมีงานในวันนี้ แต่เราก็โดนแคนเซิลไป ด้วยสุขภาพที่เราไม่สามารถไปร้องไหว หรือศักยภาพที่เราไม่สามารถไปร้องได้เหมือนเดิม ก็เลยต้องกลับบ้านไปเยียวยาตัวเอง สุดท้ายครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่สุด"