เอ๊ะ จิรากร เผยประสบการณ์ ติดโควิดจนต้องบำบัดจิตใจ หวั่นส่งผลกระทบร้องเพลง
เอ๊ะ จิรากร แชร์ประสบการณ์ติดโควิดจนต้องบำบัดจิตใจ หวั่นโควิดส่งผลกระทบร้องเพลง เผยผ่านช่วงรักษาสุดทรมานใจ ติดโควิดทั้งบ้าน ย่าถึงกับทำพินัยกรรมไว้
กลับมาจับไมค์ร้องเพลงได้อีกครั้ง สำหรับนักร้องเสียงดี เอ๊ะ จิรากร สมพิทักษ์ ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรายการ “เพื่อนกัน วันติดโควิด” ในช่วง “กล่อมเพื่อน” ถึงจะห่างจากการเล่นคอนเสิร์ตไปนาน แต่การกลับมาสร้างความสุขผ่านเสียงเพลงของหนุ่มเอ๊ะ ในมินิคอนเสิร์ตครั้งนี้ ที่ถ่ายทอดให้ได้รับชมผ่าน AIS PLAY ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง โดยเจ้าตัวหยิบเพลงฮิตมากล่อมเพื่อนให้ฟังกันเพลินๆ อาทิ จากนี้ไปจนนิรันดร์, ไม่มีตรงกลาง, ระหว่างเราสองคน ฯลฯ เพื่อส่งต่อกำลังใจดีๆ ให้ทุกคนในวันที่ต้องฝ่าฟันกับโรคโควิด-19 ไปด้วยกัน
ภายใต้รอยยิ้มและเสียงร้องเพราะๆ เอ๊ะ จิรากร เผยกับ ดีเจอ้อย นภาพร ที่รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการว่า มีความกังวลใจในเรื่องการร้องเพลงเหมือนกัน เนื่องจากตนเคยป่วยโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม และติดกันทั้งบ้านจำนวน 10 คน ซึ่งทันทีที่เอ๊ะทราบว่าตัวเองติดโควิด-19 รีบตั้งสติแจ้งทุกคนที่ใกล้ชิด แยกครอบครัวออกมาจากผู้อื่นเพื่อไม่ให้เป็นการกระจายเชื้อ
“ในช่วงที่ร่างกายสู้กับโควิด ยอมรับว่าทรมานมาก ไซนัสที่เคยหายไปเป็น 10 ปี กลับมาอีกทั้งมีไข้ติดกัน 5-6 วัน ต้องทานยาฟาวิพิราเวียร์และรักษาตามอาการ ยิ่งทรมานใจหนักกว่าเดิมที่ต้องเห็นลูกทั้ง 3 คนป่วย มีการอาเจียนจากการกินยา เป็นห่วงลูกมาก และยังมีผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวติดโควิดด้วย
ในช่วงของการรักษาคุณย่าถึงขนาดกับเขียนพินัยกรรมไว้ จนทำให้คนในบ้านใจไม่ดี แต่ได้ส่งกำลังใจให้กัน และสุดท้ายทุกคนในบ้านรักษาตัวจนหาย แต่ยังต้องติดตามอาการหลังป่วยโควิดอยู่ มีการทดสอบปอดและบำบัดจิตใจด้วย
เอ๊ะยอมรับว่าการรักษาตัวอยู่ที่สถานพยาบาลเป็นเวลานาน มีผลกับจิตใจมากๆ ทั้งความกดดันและความกังวลที่คิดไปไกล ทำให้ตระหนักว่าอย่าคิดไปก่อน ค่อยๆ แก้และรักษาไปตามอาการ พร้อมย้ำว่ากำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ป่วย”
นักร้องเสียงดีคนนี้ ยังขอส่งกำลังใจให้ถึงผู้ที่เป็นโควิดว่า เมื่อทราบว่าติดเชื้อแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การตั้งสติและรีบหาสถานพยาบาลรักษาให้เร็วที่สุด อย่าโทษใครที่นำเชื้อมาติด อีกสิ่งสำคัญมากๆ อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไปจนทำให้ไม่มีกำลังใจ ในตอนนี้มีการให้ความรู้ในเรื่องการรักษามากขึ้นแล้ว และอยากให้ทุกคนปรับตัวไปด้วยกัน เรื่องการหารายได้ในยุคนี้ไม่สามารถมีอาชีพเดียวได้แล้ว อยากให้มองหาสิ่งที่ชอบ ที่สนใจแล้วลุยทำเพื่อสร้างอาชีพและหารายได้ในอีกทาง เหมือนกับตนที่สู้ไปทุกทาง