ดีใจมาก ๆ ที่ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban หรือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน กลับมาเข้าฉายอีกครั้งในไทย ส่วนตัวอาจจะไม่ได้เป็นแฟนหนังแฮร์รี่มากนัก เพราะเราก็เคยดูเพียงแค่รอบเดียว รายละเอียดอะไรต่าง ๆ ก็จำไม่ได้มาก แต่จริง ๆ ภาคนี้เป็นภาคที่สร้างความน่าจดจำต่อเรามากกว่าทุกภาคของแฮร์รี่ พอตเตอร์เลย แม้ว่าการดูในรอบแรกจะยังไม่ได้เข้าใจถึงภาพรวมและประเด็นที่มันต้องการเล่าออกมาจริง ๆ แต่การได้ดูในโรงภาพยนตร์สำหรับรอบนี้ก็นับว่ายังคงให้ความรู้สึกเหมือนกลับไปดูรอบแรกอีกครั้ง ถือเป็นภาคที่เรารักมากที่สุดเลย โดยเราก็จะมาบอกเล่าถึงความประทับใจ 3 อย่างที่ทำให้เรารักหนังเรื่องนี้ เป็น 3 อย่างที่ทำให้หนังดูโดดเด่นกว่าทุกภาค และเป็นหนังที่ดีที่สุดของแฮร์รี่ พอตเตอร์ด้วยเช่นกัน***โดยเนื้อหาบทความต่อจากนี้มีการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนภายในหนัง ถ้าหากใครยังไม่ดูและยังไม่อยากโดนสปอยก็สามารถข้ามไปก่อนได้เลย1. จากความเป็นครอบครัวและความเป็นวัยเด็ก สู่ความเป็น Coming of Age กับเรื่องราวการเติบโตและความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจากสองภาคแรกคือ Harry Potter and the Sorcerer's Stone และ Harry Potter and the Chamber of Secrets เนื้อหาของหนังยังคงมีความเป็นครอบครัวและความเป็นวัยเด็ก ทั้งการเล่าเรื่องที่สามารถเข้าถึงได้ทุกวัย โทนของหนังก็มีบรรยากาศที่ไม่หม่นหม่อง มีความสดใสแฟนตาซี ปมปัญหาตัวละครที่ยังเลือกเล่าไม่ลงลึกมาก มุ่งเน้นไปที่เรื่องราวของการผจญภัยมากกว่า โดยสำหรับภาค Prisoner of Azkaban จะมีบรรยากาศของหนังที่หม่นหม่องมากขึ้นในโทนและอารมณ์ความรู้สึก โทนภาพที่มีความฟ้า ๆ เทา ๆ ก็ให้ความรู้สึกถึงความเศร้าและโลกที่มดหม่นกว่าภาคก่อน ส่วนปมปัญหาตัวละครที่ถูกขยับขยายเล่าถึงเรื่องราวพ่อแม่ของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ เล่าถึงตัวละครต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกถึงความสูญเสีย โศกเศร้า เสียใจ เสมือนว่าเป็นปมที่เขาต้องก้าวผ่านไปให้ได้ อีกทั้งการที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้คนที่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของเขาก็เป็นการเผชิญหน้าที่สำคัญอย่างมากของแฮร์รี่ จึงทำให้ภาคนี้เป็นภาคที่นอกจากความเป็นหนังแฟนตาซีเวทมนตร์ผจญภัยที่ทำออกมาได้สนุก หนังก็พูดถึงเรื่องราวการก้าวข้ามผ่านวัยของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทั้งปมในใจและการเติบโตทางความคิดได้ดีมาก2. จุดหักมุมที่เกินคาดคิด สะท้อนประเด็นได้อย่างเข้มข้นหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ ในแต่ละภาคก็มีจุดหักมุมที่มากน้อยแตกต่างกันออกไป แต่ถ้าหากว่าด้วยจุดหักมุมที่ทำให้เราเซอร์ไพรซ์มากที่สุดของหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ คือภาคนี้ ซึ่งหนังว่าด้วยเรื่องราวของซีเรียส แบล็ค นักโทษที่ได้ออกจากคุกอัซคาบัน ที่หลายคนลือกันว่าเขาคือบุคคลที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่พยายามตามล่าแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำให้เราคนดูคิดว่าคนนี้จะต้องเป็นตัวร้ายประจำภาคนี้อย่างแน่ ๆ แต่หนังก็ได้เฉลยออกมาว่า ซีเรียส แบล็ค ได้มาตามล่าเพื่อนสนิทของเขาที่ได้ทรยศพ่อแม่ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ จนทำให้พ่อแม่ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ต้องตาย อีกทั้งหนังทำให้เราเห็นว่า ซีเรียส แบล็ค ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอย่างที่นึกถึงกัน มันเลยสะท้อนถึงประเด็นที่ว่า คนเรามักจะตัดสินใจจากหน้าตาและสภาพที่เขาเป็นอยู่ โดยที่เรายังไม่ได้รู้ความจริงต่าง ๆ แม้แต่น้อยจริง ๆ สิ่งที่ชอบมากสำหรับจุดหักมุมนี้มันก็สะท้อนถึงมิติตัวละครของ ซีเรียส แบล็ค ที่ยังคงมีความห่วงใยในตัวแฮร์รี่ พอตเตอร์ เสมือนลูกหลานของเขาเอง ขณะเดียวกัน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ก็รู้สึกว่าการได้เจอกับ ซีเรียส แบล็ค ก็เหมือนทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่ของเขามากขึ้นเช่นกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองในภาคนี้ แม้จะเล่าได้ไม่มาก แต่มันก็อบอุ่นน่าประทับใจมาก ๆ (และแกรี่ โอลด์แมน ในบท ซีเรียส แบล็ค มาก ๆ เช่นกันที่เขามอบการแสดงให้ตัวละครไว้ได้น่าสนใจ)3. การย้อนเวลาที่ไม่ใช่การกลับไปแก้ไขอดีต แต่เป็นการช่วยอีกหลาย ๆ ชีวิตและเติมเต็มสิ่งต่าง ๆ ให้สมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราชอบมากนอกจากเรื่องราวความแฟนตาซีผจญภัยในหนังที่เล่าได้น่าสนุกติดตาม คือภาคนี้เป็นหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่จู่ ๆ ช่วงท้ายก็ข้ามจากความเป็นแฟนตาซีไปสู่โหมดหนังย้อนเวลา ดูรอบแรกก็จะมีความแปลกใจพอสมควร เพราะมันดูแปลกประหลาดจากทุกภาค แต่พอได้ดูรอบนี้ก็ทำให้เห็นว่าการย้อนเวลาของหนังมันถูกปูทางมาตั้งแต่ต้นผ่านรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หนังหยอดเข้ามา จึงทำให้ช่วงท้ายไม่ดูรู้สึกติดขัดอะไรเลย อีกทั้งเรื่องราวการย้อนเวลาก็เล่าออกมาได้สนุกเพลิดเพลิน มีความแปลกตาแปลกใจ แต่อีกอย่างที่ชอบคือฟังก์ชั่นของการย้อนเวลาในหนังเรื่องนี้มันจะไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด แต่เป็นการช่วยชีวิตตัวละครหลาย ๆ คนที่กำลังเผชิญหน้ากับความลำบาก อีกทั้งเป็นการย้อนเวลาเพื่อไปเติมเต็มสิ่งต่าง ๆ ให้สมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งมันก็จะว่าด้วย "หากไม่มีอดีตก็จะไม่มีอนาคต หากไม่มีอนาคตก็จะไม่มีอดีต หากไม่มีการย้อนเวลาก็อาจจะทำให้หลาย ๆ ชีวิตไม่มีอยู่ในปัจจุบัน"อีกอย่าง ฟังก์ชั่นของการย้อนเวลามันก็เหมือนเป็นการให้เวลาสำรวจตัวตนของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทั้งปมพ่อแม่ที่เขาเผชิญอยู่ รวมทั้งการเผชิญหน้ากับความกลัว อย่างที่เราจะเห็นได้ในซีนที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ ใช้คาถาช่วยตัวเองจากผู้คุมวิญญาณ ซึ่งเสมือนว่าเขาได้สลัดความกลัวบางอย่างออกจากตัวและพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมันได้มักเกิลต้องไม่พลาด "Harry Potter" 7 ภาค 8 เรื่อง ครบทุกตอน กลับมาให้ได้ชมที่ TrueID"Harry Potter and the Prisoner of Azkaban" ก็ถือเป็นหนังที่ทำออกมาได้สนุกเพลิดเพลินมาก ซึ่งส่วนนึงคือได้การกำกับของ อัลฟอนโซ กัวรอน ที่แม่นยำ ทำให้บรรยากาศโทนหนังออกมาดูมีเสน่ห์อย่างที่หนังควรจะเป็น (ซึ่งผลงานหลังจากที่เขากำกับหลังจากเรื่องนี้ก็มี Children of Men, Gravity และ Roma) ประเด็นที่หนังเล่าออกมาก็สะท้อนเรื่องราว ผู้คนและสังคมได้ดีมาก อีกทั้งเป็นหนังที่ทำให้ตัวละครออกมาดูมีมิติมากขึ้น ถือเป็นภาคที่น่าจดจำน่าประทับใจอย่างยิ่งและเป็นหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ดีที่สุดสำหรับเลย สำหรับเราให้คะแนนหนังเรื่องนี้ที่ 9 เต็ม 10 ครับ***ที่กล่าวมาเป็นความคิดเห็นของผู้เขียน รสนิยมและความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยังไงก็ไปลองดูและพิสูจน์กันได้ครับ ภาพยนตร์: Harry Potter and the Prisoner of Azkaban (2004)ประเภทหนัง: แฟนตาซี, ผจญภัยผู้กำกับ: Alfonso Cuarónผู้เขียนบท: Steve Klovesคะแนนจากผู้เขียน: 9/10ขอบคุณเครดิตภาพจาก Facebook: Warner Bros. Picturesภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6อัปเดตข่าว ดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี!