เดอะ เมทริกซ์ เรเซอเร็คชั่นส์ The Matrix Resurrections (2021)พูดไปใครจะเชื่อว่าหนังไตรภาคในตำนานอย่าง The Matrix จะกลายเป็นการปฏิวัติวงการหนังฮอลลีวู้ดอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะหลังจากนั้นมาฮอลลีวู้ดก็ได้รู้ว่าหนังกังฟูมันดูสนุกแค่ไหน และทำให้หนังไซไฟกังฟูกึ่งปรัชญาชุดนี้กลายเป็นที่กล่าวขานข้ามเวลา หนังที่ทำให้ Keanu Reeves กลับมาผงาด สร้างชื่อให้นักแสดงอย่าง Carrie-Anne Moss และแน่นอนผู้กำกับสองพี่น้องตระกูล Wachowski หนังที่เมื่อดูภาคแรกรอบแรกแล้วออกจากโรงมีบทสนทนาจากผู้ชมกันเองว่า "ดูไม่รู้เรื่องแต่สนุกเป็นบ้า" จนนำพามาซึ่งการดูซ้ำ ทำให้หนังประสบความสำเร็จจนมีภาคต่อมาอีกสองภาค แล้งมหากาพย์ของการต่อสู้ของมนุษย์กับเครื่องจักรก็สิ้นสุดลงในปี 2003 ที่ทุกอย่างลงตัวสมบูรณ์แบบ แต่ใครจะคิดว่าสิบแปดปีต่อมาจะมีภาคต่อมาให้ชมกันอีก และแน่นอนว่าผู้เขียนคือแฟนหนังชุดนี้จึงมีหน้าที่ต้องดูเริ่มต้นที่ Bugs (Jessica Henwick) ที่ไปสังเกตการณ์เหตุการณ์ใน The Matrix ที่ผู้ชมคิดว่ามันจบลงแล้วเมื่อสิบแปดปีก่อน แล้วเหตุการณ์ก็บานปลายให้ Bugs ต้องหนีจากเหล่าชายในสูทดำ และเธอก็ได้เจอกับ Morpheus (Yahya Abdul-Mateen II) เพื่อที่จะพากันตามหาเอกบุรุษในตำนานคือ Neo (Keanu Reeves) ผู้ปลดปล่อยเมื่อครานั้น แต่ครานี้ Neo กลายเป็นผู้สร้างเกมที่ชื่อว่า The Matrix ที่ใช้เหตุการณ์เมื่อคราโน้นมาเป็นเกมในครานี้ และ Neo เองในคราบของมนุษย์ที่อยู่ใน The Matrix ก็มีความรู้สึกบางอย่างที่เหมือนเป็นความฝันกึ่งความทรงจำ เมื่อเขาต้องตาหญิงหนึ่งที่เป็นสิงห์นักบิดและเป็นแม่บ้าน และปรากฎว่าเธอคนนั้นคือ Trinity (Carrie-Anne Moss) ซึ่งเธอคนนั้นก็รู้สึกคล้ายกัน แต่เมื่อ Neo ไม่รู้ตัวเองว่าอยู่ในโลกเสมือนในสภาพแบตเตอรี่ Bugs กับ Morpheus จึงต้องปลดปล่อย Neo และ Trinity เพื่อปลดปล่อยมนุษย์จาก The Matrix อีกครั้งเมื่อนี่คือการกลับมาของตำนานที่มีแฟนที่เกิดทันและโตทันดูหรือกระทั่งดูครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างผู้เขียน สิ่งที่ตามมาคือสายตาที่จับจ้องและพร้อมจะชำแหละเมื่อได้พิสูจน์เพราะไตรภาคนั้นได้สิ้นสุดสงโดยสมประสงค์ และเมื่อดูจบผู้เขียนต้องแยกความรู้สึกออกมาสองทาง หนึ่งคือถ้านับเป็นงานภาคต่อภาคนี้ไม่ควรถูกสร้างออกมา และอีกหนึ่งคือถ้ามองว่านี่คือหนังอีกเรื่องหนึ่งนี่ก็คือหนังที่ดูสนุกในอารมณ์บูชาครูและเคารพของเก่า เหตุผลของความรู้สึกแรกคือเรื่องมันจบลงอย่างลงตัวแล้วและการหาเหตุให้เล่าต่อมันสัมผัสได้ถึงการดันทุรังจนดูยัดเยียด และด้วยบทที่ดูพยายามอย่างหนักที่จะโยงแต่ดูจับยัดก็เลยทำให้ไม่รู้สึกว่าเป็นการต่อกันติดสนิท แต่สำหรับเหตุผลของความรู้สึกหลังนี่ก็คืองานที่สนุกบนสีเสื้อของ The Matrix ที่เคารพของเดิมทั้งอารมณ์ ปรัชญา และความงุนงง จึงไม่ต่างจากการดูงานมัดรวมอย่าง The Animatrx (2003) ที่ดูสนุกและเป็น The Matrix แต่มันคือเหตุการณ์อื่นซึ่งในความพยายามโยงนั้นมีมาหมดทั้งชิ้นส่วนเดิมที่มาเติมชิ้นส่วนใหม่ทำให้มีอารมณ์ถวิลหาอดีต แต่ด้วยพล็อตที่เหมือนเอาของเก่าภาคแรกมายำใหม่เลยทำให้คนที่ดูมาหลายรอบรู้สึกไม่ตื่นใจแม้จะมีอะไรพลิกในตอนท้ายก็ตาม แต่ที่ตื่นตาคือฉากแอ็คชั่นที่ทำมาดีดูสนุกหวือหวาเร้าใจในมุมกล้องที่สัมผัสได้ถึงของเดิม ทำให้แม้จะดูงงๆว่าอะไรทำไมแต่หนังก็ยังเดินหน้าไปได้อย่างสนุก ซึ่งข้อดีก็คือคนที่ไม่ได้ดูงานไตรภาคแรกมาก็ยังดูรู้เรื่อเพราะยังมีอรรถาธิบายถึงที่มาในบางเรื่องเพื่อมีที่ไปในบางเรื่อง และเหมือนจะรู้ตัวว่ายุคนี้ผู้ชมจะมีความอดทนน้อยกว่ายุคนั้นก็ไม่มัวมาปรัชญาลึกจนเต็มไปด้วยบทสนทนาแต่ว่าแค่พอมีให้สัมผัส จึงทำให้หนังมีพลังเดินหน้าไปสู่จุดที่ผู้ชมอยากรู้และเฉลยได้ถูกเวลาคือไม่นานเกินรอ ประกอบกับนี่คืองานแอ็คชั่นไซไฟและด้วยเทคโนโลยีจึงทำให้ดูดีขึ้นสนุกขึ้นสำหรับคนรุ่นใหม่แน่นอน แต่กับคนรุ่นผู้เขียนกลับรู้สึกอีกอย่างเพราะจุดขายของ The Matrix มันคือฉากพะบู๊ในลีลากังฟู แต่การที่ภาคนี้ออกมาเมื่อเวลาล่วงเลยมานานอะไรที่เคยได้ผลหรืออะไรที่เคยตื่นตามันเหมือนเย็นชืดไปแล้วเพราะหลังจากนั้นมาลีลากังฟูออกมาจนเรียกว่าตามดูไม่ทัน ประกอบกับการเปลี่ยนตัวนักแสดง Morpheus ที่ไม่ใช่ Laurence Fishburne ก็ส่งผลกับความรู้สึกไม่น้อยเพราะแม้ว่า Yahya Abdul-Mateen II จะพยายามยังไงมันก็ยังไม่ใช่ และเห็นชัดว่าพยายามจะเป็นซึ่งถ้าไม่พยายามแล้วสร้าง Morpheus ในแบบของตนเองขึ้นมาน่าจะดีกว่า เพราะเรื่องก็พัฒนาไปปานนี้แล้ว ทำให้ในมุมของคนรุ่นเก่าอย่างผู้เขียนที่เคยรู้สึกวูบวาบเมื่อครานั้นกลายเป็นไม่สมใจกับการเป็นหนังภาคต่อ แต่ถามว่าหนังมีอะไรให้ตำหนิมากหรือไม่ก็คงบอกได้ไม่เต็มปากเพราะความรู้สึกขัดตาขัดใจมันมาจากการสลัดของเดิมออกจาความรู้สึกในสมองไม่พ้นมากกว่าจะเป็นข้อบกพร่องของตัวหนัง ซึ่งถ้าเอาความรู้สึกนี้มาตัดสินก็คงไม่ยุติธรรมเพราะถ้านับว่านี่คือหนังเรื่องหนึ่งที่ดูเพื่อความบันเทิงหนังก็คือความบันเทิงเต็มที่ เป็นหนึ่งในจักรวาล The Matrix ที่มีชิ้นส่วนในความทรงจำให้สัมผัสที่มาพร้อมกับความบันเทิงเต็มที่ในแบบหนังยุคใหม่ ด้วยการที่หนังเดินหน้าไปได้โดยที่เวลาสองชั่วโมงกว่าทำอะไรไม่ได้ก็คือหนังมีดีในตัว ด้วยความที่หนังไม่ได้ซับซ้อนเดจาวูมากมายเหมือนของเดิมด้วยเหตุผลที่ว่ามาทำให้ผู้ชมไม่ได้เปลืองสมองปวดกบาลมากจนดูไม่รู้เรื่อง เพียงแต่ไม่ทราบว่าคนรุ่นใหม่จะรู้สกเหมือนผู้เขียนหรือไม่ที่ศัพท์แสงอะไรเกี่ยวกับโค้ดหรือที่พูดๆกันผู้เขียนไม่รู้เรื่องเลย อาจเป็นเพราะยุคปัจจุบันมันไม่ใช่ยุคของคนรุ่นผู้เขียนแล้วกระมังทำให้ผู้เขียนดูหนังเรื่องนี้โดยไม่สนบทสนทนามากนักเพราะความไม่รู้ และเมื่อหนังมอบความบันเทิงที่อยู่ตรงหน้าที่เริ่มต้นด้วยความสงสัยว่าทำไม Neo จึงกลับไปอยู่ใน The Matrix แล้วหนังก็พาไปยังจุดที่ต้องรู้ด้วยความสนุกตื่นเต้นตื่นตา นั่นก็คุ้มค่ากับเวลาและสิ่งที่ต้องจ่ายคือ True Point (499 Point) แล้วอาจไม่ตื่นใจแต่ถึงยังไงนี่ก็คือหนังที่สนุกและคู่ควรต้องดู ดูไปบ่นไปTrueIDเรื่องย่อ The Matrix Resurrections (ดูได้แล้วที่ TrueID)ทำความรู้จักโลกของ Matrix โลกไหนจริงโลกไหนเทียมเท็จ #TheMatrixขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 จาก Facebook HBO Maxภาพที่ 5 จาก Facebook TrueIDอัปเดตข่าว ดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ,ฟรี