รีเซต

ในนี้มีสปอยล์! เปิดตอนจบ "The Flash" อีก 2 แบบที่เราไม่ได้เห็นในโรงภาพยนตร์

ในนี้มีสปอยล์! เปิดตอนจบ "The Flash" อีก 2 แบบที่เราไม่ได้เห็นในโรงภาพยนตร์
แบไต๋
22 มิถุนายน 2566 ( 15:00 )
203

หลายคนคงได้ชม ‘The Flash’ กันไปเรียบร้อยแล้วและคงทึ่งไม่น้อยกับตอนจบที่ แบรี อัลเลน (เอซรา มิลเลอร์ – Ezra Miller) ได้พบกับบรูซ เวย์นในเวอร์ชัน จอร์จ คลูนีย์ (George Clooney) จาก ‘Batman & Robin’ (1997) แต่ความจริงแล้วหนังมีตอนจบอีก 2 แบบที่เราไม่ได้เห็นกันในโรงภาพยนตร์อีกด้วย Beartai Buzz ขอพาทุกท่านไปเจาะลึกตอนจบ ‘The Flash’ ที่ผ่านผู้บริหารถึง 3 ยุคของวอร์นเนอร์ บราเธอร์ส (Warner Bros.)

DC Film ยุคดั้งเดิม

โดยในขณะนั้น ดีซีฟิล์ม อยู่ภายใต้การบริหารของวอลเธอร์ ฮามาดะ (Walter Hamada) และ โทบี เอ็มเมอร์ริช (Toby Emmerich) และวางแผนจะให้ ‘The Flash’ เป็นการรีเซ็ตจักรวาลใหม่ของจักรวาลภาพยนตร์ดีซี (DC Cinematic Universe) แยกจักรวาลกับจุดเริ่มต้นที่ แซก สไนเดอร์ (Zack Snider) ได้เริ่มไว้ใน ‘Man of Steel’ (2013) และมีแผนสร้างภาคต่อของ ‘The Flash’ เพื่อนำไปสู่อีเวนต์ ‘Crisis on infinte earth’

ตอนจบ

ในตอนจบแบบแรก แบรี อัลเลน เดินออกมาจากศาลแล้วจะได้พบกับแบทแมนในเวอร์ชันของ ไมเคิล คีตัน (Michael Keaton) และซูเปอร์เกิร์ลของ ซาชา แคลลี (Sasha Calle) โดยตั้งใจให้ผู้ชมรับรู้ว่า แบรี ไม่ได้รีเซ็ตไทม์ไลน์ หรือเปลี่ยนอะไรเลยหลังจากที่เขาได้ย้อนเหตุการณ์เพื่อช่วยไม่ให้นายพลซ็อต (ไมเคิล แชนนอน – Michael Shannon) ฆ่าซูเปอร์เกิร์ลได้สำเร็จ

โดยมีข่าวลือว่าในฉากตอนท้ายของเอนด์เครดิต แบทแมนเวอร์ชัน เบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) จะโผล่มาจาก โครโนโบว์ล (Chronobowl) คล้ายกับที่แบรีโผล่ไปเตือนแบทแมนใน ‘Batman V. Superman’ แต่คราวนี้เป็นแบทแมนของแอฟเฟล็กเพื่อบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งให้แบรี ทำเควสต์ในภาคต่อเพื่อตามหาบรูซ เวย์นที่เขารู้จักต่อไป

DC Film ยุคปฏิวัติควบรวม Warner Bros. กับ Discovery

หนักกว่าอสุนีบาตคือการเข้ามาของ เดวิด แซสลาฟ (David Zaslav) ประธานบริษัท วอร์นเนอร์ บราเธอร์ส ดิสคัฟเวอรี พิคเจอร์ส (Warner Bros. Discovery Pictures) อันเกิดจากการควบรวมกิจการของวอร์นเนอร์และดิสคัฟเวอรี ได้สั่งลงดาบยกเลิกหนังในสตรีมมิงที่คาดว่าจะไม่ทำกำไรซึ่งหนึ่งในนั้นได้แก่ ‘Batgirl’ หนังทุนสร้าง 3,137.985 ล้านบาทที่ถ่ายทำเสร็จแล้วเพื่อลดภาระด้านภาษีอันเป็นแผนหนึ่งในการเคลียร์หนี้กว่า 4 หมื่นล้านบาทของวอร์นเนอร์

การยกเลิก ‘Batgirl’ กลายเป็นเหตุผลให้ วอลเธอร์ ฮามาดะ (Walter Hamada) และ โทบี เอ็มเมอร์ริช (Toby Emmerich) ลาออกจากการบริหารดีซี ฟิล์ม จากนั้นแซสลาฟได้แยกมาตั้งดีซี สตูดิโอ (DC Studio) และได้ ไมเคิล เดอ ลูกา (Michael De Luca) กับ พาเมลา แอบดี (Pamela Abdy) มารักษาการบริหารดีซี สตูดิโอในช่วงสูญญากาศของการแต่งตั้งประธานคนใหม่

ภายใต้การทำงานของเดอ ลูกากับแอบดี ดีซี สตูดิโอมีแผนสร้างทั้งหนัง ‘Superman’ เรื่องใหม่และภาคต่อ ‘Wonder Woman’ หนึ่งในความมั่นหน้ามั่นโหนกคือการตอบรับไอเดียของ ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) หรือเดอะร็อคที่ให้เชิญ เฮนรี คาวิลล์ (Henry Cavill) กลับมาถ่ายฉากเอนด์เครดิต ‘Black Adam’ เพื่อปูทางไปสู่ภาคต่อที่แบล็กอดัมกับซูเปอร์แมนจะได้ซัดกันต่อไปแต่สุดท้ายหนังก็แป้กอย่างที่เห็น

ตอนจบ

ในตอนจบฉบับที่ 2 อัลเลนยังคงเดินออกมาจากศาล แต่คราวนี้จะได้พบกับซูเปอร์เกิร์ลที่มาพร้อมกับ ซูเปอร์แมนที่แสดงโดยคาวิลล์ แถมยังมีวันเดอร์วูแมนของกัล กาด็อต (Gal Gadot) รวมถึงแบทแมนของไมเคิล คีตันก็ยังคงอยู่

ซึ่งเดิมทีโครงการสร้างหนัง ‘Supergirl’ ในยุคฮามาดะกับเอ็มเมอริช ถูกพับไปแล้วหลังการควบรวมกิจการ แต่ทางเดอ ลูกาและแอบดี คิดว่ามันคงไม่ดีแน่หากให้ผู้ชมออกจากโรงโดยมีภาพสุดท้ายคือซูเปอร์เกิร์ลโดนนายพลซ็อตแทงตายคาจอเลยเกิดเป็นตอนจบข้างต้นและยังเผื่อโอกาสให้ซูเปอร์เกิร์ลของแคลลีได้กลับมาในหนังดีซีเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย

James Gunn และ Peter Safran ผู้มารีเซ็ตจักรวาล DC ที่แท้ทรู

และในที่สุด ดีซี สตูดิโอ (DC Studio) ก็ได้ประธานตัวจริงเสียงจริงได้แก่ เจมส์ กันน์ (James Gunn) ที่จะมาดูในฝั่งงานครีเอทีฟสร้างสรรค์คอนเทนต์ พร้อมปีเตอร์ ซาฟราน (Peter Safran) ที่จะมาบริหารทิศทางการตลาด โดยอาญาสิทธิแรกของทั้งคู่คือการสั่งยกเลิกหนังซูเปอร์แมนและบอกลา เฮนรี คาวิลล์ ตัดโอกาสแฟน ๆ สไนเดอร์เวิร์ส (Sniderverse) ที่หวังจะได้เห็นเขากลับมาบินได้อีกครั้ง

ยังไม่พอเพราะทั้งสองยังสั่งยกเลิกหนัง ‘Wonder Woman 3’ ของแพตตี เจนกินส์ (Patty Jenkins) อีกดั้งนั้นการจะให้ตอนจบ ‘The Flash’ มีทั้งกาด็อตและคาวิลล์ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สมควรแน่นอน รวมถึงแบทแมนของเบน แอฟเฟล็กก็ดูจะหมดอนาคตไปนานแล้วจากการบอกลาบทนี้ของตัวนักแสดงเอง ดังนั้นสิ่งที่จะตอบโจทย์กันน์ และซาฟรานได้ดีทื่สุดจึงกลับมาไปสู่มุกดั้งเดิมที่ แอนดี มุสชิเอตติ (Andy Muschietti)ตั้งไว้ก่อนทำหนัง ‘The Flash’ คือ “เราจะมีแบทแมนในหนังได้กี่คน ?” และเขาก็เลือก จอร์จ คลูนีย์ อย่างที่เห็นแต่กว่าจะดึงตัวคลูนีย์ที่มีประสบการณ์เลวร้ายหลังหนัง ‘Batman & Robin’ ออกฉายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

เบื้องหลังตอนจบของจริง

เริ่มต้นจากการที่มุสชิเอตติ ต้องไปพบกับ ไบรอัน ลูร์ด (Bryan Lourd) ตัวแทนของคลูนีย์และได้ฉายหนังที่ถ่ายทำมาจนเกือบจบเว้นไว้แค่ตอนท้ายเพื่อนำเสนอไอเดียการนำบรูซ เวย์น เวอร์ชันคลูนีย์มาใส่ไว้ในฉบับใหม่ จากนั้นจึงได้ไปพบกับคลูนีย์และฉายหนังให้ดูจนคลูนีย์ตกลงเพราะชอบหนังและตกลงที่จะมาร่วมแสดงด้วย อย่างไรก็ตามแม้จะมุสชิเอตติจะดีใจจนถึงขึ้นวางแผนระยะยาวในการดึงคลูนีย์กลับมาเป็นแบทแมนต่อไป แต่กันน์และซาฟรานก็ช็อตฟิลบอกกับมุสชิเอตติว่า พักก่อน !

และถ้าถามว่าตอนจบที่เห็นถ่ายมานานหรือยัง คำตอบคือเพิ่งถ่ายเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี่เอง ใช่ครับ ! คือเมื่อ 6 เดือนก่อนหนังจะฉายนี่แหละ โดยมีคลูนีย์ที่กลับมารับบทบรูซ เวย์นอีกครั้งหลังจากผ่านไปกว่า 25 ปี พร้อมด้วยมิลเลอร์ที่ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคมปี 2022 ไมเคิล เดอ ลูกา (Michael De Luca) กับ พาเมลา แอบดี (Pamela Abdy) ได้เข้าหารือและสั่งให้มิลเลอร์เข้ารับการบำบัดอย่างจริงจังหลังไปก่อเรื่องและถูกจับหลายครั้ง

ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาคลูนีย์ได้เข้าฉากกับมิลเลอร์ที่เพิ่งปรากฎตัวในกองถ่ายครั้งแรกหลังเข้ารับการบำบัด แม้จะใช้เวลาถ่ายทำถ่ายทำไม่นานแต่คลูนีย์ก็ได้ให้คำแนะนำกับนักแสดงรุ่นน้องถึงการรับมือกับสาธารณชนและคำแนะนำในการเอาตัวรอดในอาชีพนักแสดงฮอลลีวูด

ที่มา HollywoodReporter