"เชียร์ ฑิฆัมพร" เหมือนจับฉลากมาเป็นนางเอก ย้อนเล่ากราฟชีวิตในวงการ
"เบญจา คีตา ความรัก" และนี่คือผลงานแจ้งเกิดในฐานะนางเอกที่ชื่อ "เชียร์ ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์" กราฟความดังของเธอที่เคยพุ่งถึงขีดสุดในฐานะนักแสดง แม้จะผ่านมา 21 ปีแล้ว แต่ก็ยังเป็นละครในความทรงจำ ที่เธอได้ถ่ายทอดความประทับใจดังกล่าวในรายการ "Level up" ออกอากาศทางช่อง Youtube Thairath Online Originals
"เชียร์ ฑิฆัมพร" เหมือนจับฉลากมาเป็นนางเอก
เชียร์ ฑิฆัมพร : เริ่มเส้นทางในวงการบันเทิง ผ่านการชักชวนจากโมเดลลิ่ง เข้าประกวด Miss Teen Thailand ในปี 2002 แทบไม่น่าเชื่อว่าการประกวดในครั้งนั้น เชียร์ ภาวนากับตัวเองให้ตกรอบการแข่งขันทุกรอบ เพราะรู้สึกว่าการประกวดไม่ใช่ตัวเอง ถึงขนาดต่อรองกับคุณแม่ บอกว่าเวทีมิสทีน จะเป็นเวทีสุดท้ายที่เธอจะลงประกวดเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ปรากฎว่าตำแหน่งชนะเลิศในปีนั้น คือใบเบิกทางสำคัญที่ทำให้เธอได้ก้าวสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัว และมีผลงานละครเรื่องแรก "เบญจา คีตา ความรัก"
เชียร์ เล่าต่ออีกว่า ?
เชียร์ ฑิฆัมพร : ตอนนั้นไม่เคยรู้เลยว่าเบญจา คีตา ความรัก ทำให้คนรู้จักเรามากขนาดนี้ เพราะว่าชีวิตของเชียร์ในตอนนั้น เป็นวิถีชีวิตที่ไม่เคยได้ออกไปไหนเลย เช้าไปโรงเรียน เย็นเข้ากอง ถ่ายถึงเช้า แล้วเราก็ไปโรงเรียนอีกรอบ ชีวิตจึงไม่เคยไปไหนเลย ตอนที่ละครออนแอร์ จนกระทั่งได้ไปขึ้น 7 สีคอนเสิร์ต เจอศิลปินเยอะมาก ทุกคนดังหมดเลย พอเราขึ้นเวทีปุ๊ป มีคนรู้จัก เสียงกรี๊ดคือดังมาก รู้สึกได้เลยว่ามันมีแรงที่อัดเข้ามา ตกใจมาก ก็เลยได้รู้ว่ามีคนที่เติบโตมากับละครเรื่องนี้เยอะมาก
จากความสำเร็จในครั้งนั้น เชียร์ให้คำนิยามตัวเองว่าเป็นนางเอกเหมือนจับฉลากได้มา การทำงานแข่งกับเวลาในตอนนั้น ต้องแลกมาด้วยความเสียสละบางอย่างในชีวิตไป ?
เชียร์ ฑิฆัมพร : เชียร์ได้รับโอกาสนั้นมาเรื่อย ๆ ชอบที่ได้ทำงานในหลูบชีวิตแบบนี้ เป็นอยู่ประมาณ 10 ปี เหนื่อยแต่ก็มีความสุขมาก เรารู้สึกว่าสามารถอยู่กับมันได้ดี จนกระทั่งมีเรื่องเพื่อนเข้ามา เพื่อนไปเที่ยวบ้านไร่ที่ต่างจังหวัด แล้วไม่ได้ชวนเรา ก็กลับมาฉุกคิดว่าเพื่อนไม่คบเราแล้วเหรอ ? ความรู้สึก ณ ตอนนั้นคือเสียใจมาก แต่สุดท้ายพอคุยกับเพื่อนแล้ว ก็ได้รับคำตอบว่า ก็เคยชวนแล้ว ชวนเป็น 10 รอบ เราไม่เคยว่างสักครั้ง เพื่อนก็เลยคิดว่าเราไม่ว่าง ก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็ต้องยอมรับ เพราะสิ่งที่ชีวิตมันพาเราไป เหมือนเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งคือสังคมของการทำงาน แล้วเราจำเป็นต้องทำมัน ก็เลยเกิดการเรียนรู้ว่าเราต้องสละบางอย่างออก นั่นคือชีวิตส่วนตัว เราไม่สามารถกอดทุกเรื่องไว้ได้ แต่การทำงานในวงการบันเทิง มันทำให้เชียร์ได้เจอพื้นที่หนึ่ง ที่ได้ทำอะไรมากกว่าวัยของเราที่จะทำได้ วงการบันเทิงคืออาชีพหนึ่งที่ได้เงินด้วย หล่อเลี้ยงคนในครอบครัวด้วย และสร้างมูลค่าทางใจให้คนอื่นด้วย มีเหตุการณ์หนึ่ง เชียร์ได้เจอแฟนคลับไม่ถึง 5 นาที เค้าร้องไห้ และเค้าขอบคุณ เค้าบอกว่าเค้าแย่มาเป็นอาทิตย์แล้ว วันนี้เค้าได้เจอเรา รู้สึกว่าชีวิตเค้ามีความหมาย และมีความสุขจังเลยคำพูดนั้นทำให้เราคิดว่างานที่เราทำสร้างมูลค่าด้านจิตใจด้วย ทำให้เรารู้สึกเคารพงานในวงการบันเทิง เราเคารพไปถึงคนหลังกล้อง ช่างหน้าช่างผม ทุกองค์ประกอบที่ทำให้เราออกไปสู่สายตาประชาชนได้อย่างดีที่สุด
เลเวลสุดท้ายของการสัมภาษณ์คือบทบาทนักธุรกิจของเชียร์ เจ้าตัวมองหาสิ่งที่มั่นคงกว่าอาชีพนักแสดง ซึ่งการทำธุรกิจส่วนตัวก็ตอบโจทย์ดังกล่าว แต่ไม่ว่าเชียร์จะสวมหมวกนักธุรกิจ นักแสดง หรือบทบาทผู้จัด สุดท้ายแล้วเชียร์ก็คือเชียร์ และคิดว่าไม่มีใครอยู่กับตัวเองได้ดีเท่ากับตัวเราเอง ติดตามชมรายการ "Level up" ทางช่อง Youtube Thairath Online Originals
อ่าน ข่าวบันเทิงวันนี้ ที่เกี่ยวข้อง :