รีวิวหนัง "หลวงพี่เท่ง Comeback" อัปเดตเวอร์ชันเกือบ 2 ทศวรรษที่ปรับแค่ไมเนอร์เชนจ์

ถึงแม้ว่าหนังตระกูลหลวงพี่เท่ง จะกลายเป็นหนังชุดที่เคยสร้างออกมาเป็นภาคต่าง ๆ ถึง 3 ภาคแล้ว แต่หนังที่มีนักแสดงนำเป็น "เท่ง เถิดเทิง" มีแค่เพียงหนังภาคแรกและภาคต้นฉบับเรื่องเดียวเท่านั้น ดังนั้นการหวนคืนกลับมาของ "หลวงพี่เท่ง Comeback" จึงกลายเป็นการคัมแบ็กอย่างเต็มตัวในรอบ 19 ปีอย่างแท้ทรูของความเป็นออริจินัลของแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ ที่เสมือนกับเป็นการอัปเดตเวอร์ชัน ภายใต้รูปร่างและรูปทรงคล้าย ๆ เดิม ไม่ต่างกับโทรศัพท์ชื่อดังที่มักจะออกรุ่นใหม่มาทุก ๆ ปี

หลวงพี่เท่ง Comeback เล่าเรื่องราวการกลับมาเมืองไทยอีกครั้งของหลวงพี่เท่ง หลังจากที่ท่านไปแสวงบุญที่ทิเบตยาวนานเกือบ 20 ปี ท่านต้องมาเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงไปของวงการศาสนาในยุคปัจจุบัน เพราะพวกฉาบฉวยต่างจับจ้องที่จะหาผลประโยชน์จากพุทธพาณิชย์ในรูปแบบต่าง ๆ สวนทางกับความเป็นพระสอนของหลวงพี่เท่ง ทำให้ท่านต้องมาต่อกรกับความอึดอัดใจ ที่จำเป็นต้องใช้สติปัญญาจัดการปัญหา พร้อมกับทํานุบํารุงศาสนาให้ยั้งยืนสืบต่อไปด้วย

สำหรับในภาคนี้ก็ถือว่าเป็นรียูเนียนกลับมาสร้างหนังร่วมกันของ เท่ง เถิดเทิง กับ "โน้ต เชิญยิ้ม" ดาวตลกที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในวงการ และเรื่องนี้ก็ถือว่าไม่มีปัญหาใด ๆ กับการไหลลื่นระหว่างการทำงาน เพราะก็คล้ายกับที่พวกเขาเคยได้ร่วมกันสร้างมาจากหนังภาคแรกเมื่อ 19 ปีก่อนนั่นเอง ดังนั้นทิศทางและจังหวะในการเล่าเรื่องก็ยังคงรักษามาตรฐานเดิมเอาไว้ด้วยดี แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย เพียงแค่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป กับอายุที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลาของนักแสดงชุดดั้งเดิมเท่านั้นเอง

แน่นอนว่าบรรดามุกตลกและการสอดแทรกจังหวะขายขำต่าง ๆ ในหลวงพี่เท่ง Comeback แทบจะไม่สร้างปฏิกิริยาใด ๆ กับผู้ชมอย่างเราได้เลย แม้ว่าจะเป็นหนังที่ค่อนข้างเต็มไปด้วยมุกตลกขาวสะอาด เพราะนี่คือหนังสอดแทรกสายธรรม แต่สิ่งที่พวกเขาหยอดเข้ามาก็เต็มไปด้วยมุกกับจังหวะที่ค่อนข้างเชยและตกยุคไปสักหน่อย โดยเฉพาะพวกมุกตลกหูหึงที่ใส่เข้ามาตลอดเวลา แทนที่จะเรียกเสียงหัวเราะ แต่กลับรู้สึกได้แค่ความเรียบเฉยกับบรรดาบทสนทนาคนละอย่างที่ล้าสมัยไปหมด

ทางด้านบทหนังของหลวงพี่เท่ง Comeback เรียกได้ว่าภาคแรกในปี 2548 เป็นอย่างไร ภาคใหม่ในปี 2567 ก็แทบจะเป็นแบบนั้น สารภาพตามตรงว่าแทบจะจำเนื้อหาของภาคแรกไม่ค่อยได้แล้ว แต่ในตัวหนังเรื่องนี้ก็พอจะมีแฟลชแบ็กเบา ๆ ให้ได้ย้อนอดีต ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เราได้รู้ว่าเส้นเรื่องและทิศทางในการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้แทบจะเป็นเพียงการนำเอาของเดิมมาปัดฝุ่นและปรุงแต่งใหม่ให้เข้ากับสมัยปัจจุบันก็แค่นั้น

ถึงหนังจะเต็มไปด้วยมุกตลกเก่า ๆ ที่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกขบขันเท่าไหร่ แต่ต้องชื่นชมเช่นเดียวกันว่า หลวงพี่เท่ง Comeback ยังสามารถสอดแทรกแง่คิดทางธรรมเอาไว้ได้ค่อนข้างดี แม้ว่าจะเป็นประเด็นง่าย ๆ ที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ไม่ต่างกับละครคุณธรรมพื้นฐานทั่วไป ที่ในท้ายที่สุดหนังก็คืนบางสิ่งให้คนดูได้เช่นกัน แม้ว่าบทหนังจะค่อนข้างเต็มไปด้วยร่องรอยความผุพังเต็มไปด้วย แต่ก็นับว่าเป็นหนังยังมีเส้นเรื่องที่ค่อนข้างแข็งแรงและไม่ได้เถลไถลออกนอกเส้นทางตามคอนเซ็ปต์สักเท่าไหร่

ในแง่การแสดงก็ถือว่า เท่ง เถิดเทิง ยังคงกลับมาสวมบทบาทเป็น หลวงพี่เท่งในตำนาน ได้อย่างไหลลื่นจริง ๆ ราวกับว่าบทนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาไปแล้วเช่นกัน และเขาก็รู้ดีว่าจะรับมือกับบทนี้อย่างไร ด้วยสไตล์และลีลาการแสดงระดับดาราตลกมืออาชีพของเขา และเขายังสามารถแบกหนังทั้งเรื่องนี้เอาไว้ได้ด้วยตัวของเขาเองได้อย่างสบาย ๆ เป็นการกลับมาที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว

ขณะที่นักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ก็ถือว่าเข้ามาเสริมทัพใช้ได้ แม้ว่าบทบาทของพวกเขาแทบจะไม่มีมิติอะไรเท่าไหร่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น โน้ต เชิญยิ้ม ที่ยังแสดงกับจังหวะตลกเดิม ๆ หรือ "เด๋อ ดอกสะเดา" กับ "หม่ำ จ๊กม๊ก" ก็เข้ามาสร้างสีสันได้เช่นกัน ส่วนทัพดารารุ่นใหม่ "ออกัส วชิรวิชญ์" ที่แทบจะไม่เปล่งประกายอะไรมากนัก แต่หนังก็พยายามจะผลักดันชูคาแรกเตอร์นี้ของเขาให้เด่น แม้ว่าท้ายที่สุดจะยังไม่ค่อยสำเร็จสักเท่าไหร่ก็ตามที

ดังนั้นโดยภาพรวมแล้ว การกลับมาในรอบ 19 ปีของออริจินัลหลวงพี่เท่งในครั้งนี้ อาจจะยังไม่ใช่หนังที่ดิบดีอะไร แต่ก็ไม่ได้เป็นหนังที่เลวร้ายเช่นเดียวกัน ด้วยความที่หนังยังคงได้ทีมผู้สร้างชุดเดิม ที่รู้ดีกว่าควรจะขับเคลื่อนหนังไปอย่างไร แม้ว่าบทหนังจะเหมือนกับการรียูสใหม่ไปสักหน่อย แต่ก็มีมุมที่ได้ให้แง่คิดคติธรรมกับคนดูได้อย่างน่าพอใจ และ เท่ง เถิดเทิง ก็ยังคงรับมือกับบทบาทนี้ได้พึงพอใจ ถึงมันจะยังเป็นหนังที่ยังไม่ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ มุกตลกต่าง ๆ อาจจะตกยุคไปบ้าง แต่ก็เป็นการคัมแบ็กที่ค่อนข้างใช้ได้ระดับหนึ่งอยู่