รีเซต

"เจจินตัย" ควงภรรยา-ลูกสาว เผยสาเหตุย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยถาวร!

"เจจินตัย" ควงภรรยา-ลูกสาว เผยสาเหตุย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยถาวร!
EntertainmentReport2
5 กุมภาพันธ์ 2568 ( 21:10 )

"เจจินตัย อันติมานนท"  ควงภรรยาสาวคนสวย "บี อิสราวรรณ" และลูกสาว "น้องพลอยเจ" ที่ตอนนี้ทั้งครอบครัวกลับมาอยู่ไทยถาวรแล้ว พร้อมเปิดชีวิตครอบครัวหลังไปตั้งรกรากใช้ชีวิตที่อเมริกานานกว่า 2 ปี บอกเลยว่าเกือบทำให้ชีวิตครอบครัวไปไม่รอด เผยสาเหตุอะไรที่ทำให้ตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองไทย เคลียร์เรื่องราวที่กำลังเป็นข่าวหลังโดนคุณหมอเก๊โกงเงินสูญไปกว่า 3 ล้านบาท ในรายการคุยแซ่บShow ทางช่องOne31 ที่มี เป็กกี้ ศรีธัญญา และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกร 

"เจจินตัย" ควงภรรยา-ลูกสาว เผยสาเหตุย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยถาวร!


ครอบครัวนี้อยู่มาวันหนึ่งตัดสินใจย้ายจากเมืองไทยไปอยู่อเมริกา เกิดเหตุการณ์อะไรถึงไปทั้งครอบครัว ?

เจจินตัย : เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เรื่องแรกคือโควิด

บี : ตอนนั้นลูกเรียนออนไลน์อย่างเดียวอยู่บ้านมากกว่า 6 เดือน มันนานจังเลยสงสารลูก

เจจินตัย : พออยู่ในออนไลน์เขาไม่มีสมาธิที่จะเรียนออนไลน์ เพื่อนที่อยู่อเมริกาก็เลยแนะนำว่าไม่ลองให้มาเรียนที่อเมริกา เพราะที่อมเริกามันผ่านช่วงพีคของโควิดมาแล้ว เด็กๆที่เรียนที่นั่นสามารถไปโรงเรียนได้แล้ว แต่ที่ไทยกำลังพีคเลย เราก็คุยกันว่าเราจะไปลงทุนทำอะไรได้บ้าง เราเคยทำร้านอาหารอยู่แล้ยวงั้นเราไปลงทุนที่นั่นเราสามารถใช้วีซ่า E-2 ลูกก็จะไปเรียนที่นั่นได้ ก็เลยตัดสินใจไป


เริ่มแรกเลยคือการศึกษาของพลอยเจก่อน ?

เจจินตัย : ใช่ เขาไม่สามารถที่จะอยู่กับจอได้ เขาไม่มีสามาธิที่จะเรียนออนไลน์ได้ จากเรียนออนไลน์เป็นออกนอกบ้านไม่ได้แล้ว ห้างปิด สวนสาธารณะปิด เราไม่มีกิจกรรมอะไร แล้วงานก็ถูกระงับไปเรื่อยๆ


วางแผน ณ ตอนนั้นเห็นว่ามีละครค้างอยู่ ?

เจจินตัย : ตอนนั้นถ่ายอยู่ 8 เรื่อง เราแจ้งทางผู้จัดหมดเลยว่าผมมีเวลาอีก 10 เดือน ผมจะบินวันที่ 15 พฤศจิกายน นะ ให้เวลา 10 เดือนเลย เพราะช่วงนั้นพอเริ่มถ่ายกองก็ทำงานกันไม่ได้ เพราะว่าเดี๋ยวก็มีนักแสดงคนนี้ติดคนนั้นติด พอติดก็ต้องกักตัว 14 วัน เราก็ต้องมีไทม์ไลน์ที่ต้องเดินทางก็เลยแจ้ง สุดท้ายเขาก็ปรับบทให้ผมตายหมดเลย  6 เรื่อง เรื่องนึงตกตึก อีกเรื่องเป็นบู๊โดนไม้แทงอก อีกเรื่องโดนยิง อีกเรื่องรถชน 


ตอนนั้นอยากไปมั้ย ?

พลอยเจ : อยากไปค่ะ หนูอยากไปเจอเพื่อนหนูแล้วก็อยากขึ้นเครื่องบิน 


พอขึ้นเครื่องบิน 24 ชั่วโมง เป็นยังไง ?

พลอยเจ : ไม่สนุกแล้วค่ะ


ก่อนจะไปก็ต้องเริ่มวางแผน เริ่มขายของ ขายอะไรบ้าง ?

เจจินตัย : ตอนนั้นขายรถ ขายที่ ขายคอนโด

บี : ขายทุกอย่างเลยเพราะว่าเรารู้สึกว่าเราต้องย้ายจะไม่มีใครดูทรัพย์สินให้เรา เพราะว่าทางคุณแม่ก็อายุเยอะแล้ว เราต้องเคลียร์ตัวเองก่อนที่จะไป เพราะเราคิดว่าเราคงไม่ได้กลับมาแล้ว 


ณ วันที่จะไปกะว่ารันยาวแล้ว ?

บี : ใช่ค่ะ ต้องยาวเลย เพราะเหมือนเราทิ้งทุกอย่างที่นี่แล้ว เราตัดสินใจแล้วว่าเราทิ้งทุกอย่างที่นี่เพื่อลูกได้ไปเรียนที่นู่น เป็นการติดสินใจครั้งใหญ่มาก


มีเวลาเตรียมตัวกันนานขนาดไหน ?

เจเจินตัย : คิดกันเป็นปีเหมือนกัน

บี : ถ้ามีแพลนเป็นปี แต่ตัดสินใจเลยต้องแล้ว ประมาณไม่ถึงสองเดือนดีประมาณเดือนกว่าๆเท่านั้นเอง 

เจเจินตัย : คาราคาซังมาเรื่อยๆ เตรียมตัว คาราคาซังแล้วก็วางแผน เตรียมตัว พอถึงเวลามันโช๊ะเลย

บี : มันเป็นช่วงโควิดหนักๆพอดี โอเคต้องไปแล้ว

ณ ตอนที่เราจะไปเราฝันว่าจะเป็นยังไง แล้วพอไปถึงมันเป็นอย่างที่เราฝันมั้ย ?

บี : คือก่อนที่เราจะไปอยู่จริงๆเราก็ลองไปอยู่ซักเดือนนึง อารมณ์เหมือนไปเที่ยวไปลองอยู่

เจเจินตัย : ไปเซอร์เวย์ก่อนแล้วก็ไปดูว่าเราจะอยู่อย่างนี้นะ โรงเรียนจะเป็นอย่างนี้ แต่เราไปสั้นประมาณเดือนนึง 

บี : ตอนไปเซอร์เวย์เราอยู่ได้นะคือยังไงมันก็ไม่เหมือนอยู่จริงเนอะแต่เราไม่รู้ว่ายังไง แต่พอเราไปอยู่จริงมันไม่เหมือนเลย มันแย่มากๆนะ ความที่เราต้องปรับตัวหลายๆอย่าง ทั้งตัวเราเองด้วย ทั้งลูกด้วย สิ่งแวดล้อม สังคม 


ตอนไปตอนแรกบ้านยังไม่มี ต้องไปแชร์เขาอยู่ด้วย ?

เจเจินตัย : ใช่ แต่ว่าแชร์แชร์ในองค์กรเพราะว่าร้านอาหารจะมีหลายสาขา เรามีอยู่สองสาขาที่เราไปลงทุนใหม่ ตรงนั้นเป็นสำนักงานใหญ่แล้วเราก็แชร์กับพาร์ทเนอร์ก็คือไปอยู่รวมก่อน ซื้อบ้านที่โน่นไม่ง่ายมันต้องมีพ้อยท์ มีเครดิตสกอร์ ไม่สามารถที่จะเอาเงินสดไปซื้อ ไม่ได้


บ้านไปแชร์กับเขาแล้ว รถก็ต้องดาวน์ 50% ก่อน ?

บี : เรามีเงินที่พอจะซื้อได้ แต่ซื้อไม่ได้

เจเจินตัย : เขาไม่ให้ซื้อสดด้วยนะ เขาให้เราซื้อเพื่อให้เราทำสกอร์ให้เราสร้างเครดิตขึ้นมาก่อนเพื่อที่จะปูตัวเอง 

บี : ที่สำคัญวีซ่าด้วยถ้าเราไม่ใช่พลเมืองของเขาจริงๆหรือเป็นนักลงทุนที่มีระยะเวลาอยู่เขาก็ไม่ให้อะไรที่เป็นทรัพย์สมบัติเลย

เจเจินตัย : เพราะว่าตัววีซ่าที่ผมใช้ผมเป็น E-2 เป็นนักลงทุนมันอยู่ได้ 2 ปี เพราะฉะนั้นการที่เราจะไปซื้อรถเขามองว่าถ้า 2 ปี มันไม่ได้ต่อวีซ่าเขาจะทำยังไง ก็เลยต้องสร้างเครดิตสกอร์ขึ้น


หนีโควิดจากไทยถึงโน่นติดโควิดทั้งครอบครัวเลย ?

เจเจินตัย : ใช่ครับ ที่นี่แกร่งมากครับ ที่นี่ไม่มีปัญหา รอด เป็นผู้ชนะ ขึ้นเครื่องดีใจมาก ไปติดที่โน่นหนักเลย


ที่โน่นอย่าหวังว่าจะได้ไโรงพยาบาล ต้องรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน ?

บี : ใช่ค่ะ ไม่ได้ไปโรงพยาบาล เรื่องการแพทย์ไม่ว่าจะอาการเล็กอาการน้อยอาการใหญ่ติดต่อแพทย์ยากมาก 

เจเจินตัย : ไม่เหมือนเมืองไทยเลยนะที่ไหนใครก็รักษา

ขอบคุณคลิปจากรายการ คุยแซ่บShow


แล้วที่ปรับตัวหนักสุดคือพลอยเจ ?

พลอยเจ : เขาบอกว่าเป็นเด็กไทยเขาก็เลยไม่เล่นด้วย เริ่มมาผลักหนู แล้วก็เหมือนมาแกล้ง หนูก็อยู่เฉยๆ 

บี : เหมือนบูลลี่เอเชีย 


คุณพ่อคุณแม่ก็ไปโรงเรียนไปคุยกับคุณครูแต่ก็ไม่เกิดผล ?

เจเจินตัย : เขาก็รับเรื่องไว้ ก็เป็นการติดต่อยาก จะไปเจอครูก็ต้องมีอีเมลเป็นการนัดหมายล่วงหน้า ไม่สามารถจะเดินไปแบบที่ไทยว่าคุณครูครับเรามีปัญหาอันนี้แล้วเคลียร์กันได้เลย 


โดนแกล้งอะไรบ้างพลอยเจ ?

พลอยเจ : บางทีเขาก็เอากระดาษมาแปะกระเป๋าหนู เริ่มทำเกินไป แล้วหนูก็ร้องไห้หนูก็ไม่ชอบ เป็นอยู่ประมาณเดือนนึง 


พ่อแม่ทำยังไง ?

เจเจินตัย : ได้แต่ไปเจอครู อีเมลนัดเจอ พอนัดเจอก็บอกว่ามีปัญหาแบบนี้เขาก็บอกว่าจะดูให้ เขาบอกว่าแรกอย่างนี้แหละ เวลาเด็กทุกคนมาก็ปรับตัวแบบนี้แหละอาจจะยังไม่ชินกับที่นี่ 


ชีวิตคู่ก็ยากเหลือเกิน ไม่พูดกันเกือบครึ่งปี ?

เจเจินตัย :  กดดันหลาย ๆ อย่าง มันเหมือนอยู่กันแค่ 3 คน อยู่ที่นี่ยังช่วยเหลือกันได้ มีเพื่อนผม เราเครียดเรื่องลูก เรื่องงาน เรื่องวัฒนธรรม เรื่องสภาพแวดล้อมที่มันเปลี่ยนหมดเลย มันก็เลยตึงกันไปแล้วก็ไม่ได้คุย 


อยู่ๆก็ตื่นเช้ามาวันนี้ไม่คุยกันดีกว่า ก็ไม่คุยกันยาว 6 เดือน ?

เจเจินตัย : เรารู้อยู่แล้วว่ามันมีอะไรที่มันกดดันเราอยู่บ้าง มันหลายๆอย่างมาก ที่มันรู้สึกว่าไม่คุยกันดีกว่า


เป็นเพราะความเครียดมั้ยก่อนที่เราจะไปเราวาดฝันคิดว่าจะเป็นแบบนึง ?

บี : ใช่ค่ะ พอไปถึงแล้วมันไม่เหมือนเลย

เจเจินตัย : ชีวิตจริงมันคนละเรื่องหมดเลย มันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดพลิกแพลง มันเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องมันเกิดขึ้น แต่ก็เป็นประสบการณ์


6 เดือนพูดกันให้น้อยที่สุด ทำยังไง ?

เจเจินตัย : จะเหลือแค่การสนทนาเกี่ยวกับลูก ไม่ใช่ไม่พูดกันเลย

บี : เหลือแค่สนทนาว่าใครจะดูลูกยังไง ใครจะไปรับไปส่ง เพราะว่าต้องสลับกันตลอดเพราะควาที่ทำงานหนักกันทั้งคู่อยู่ที่โน่นต้องช่วยกันทำงาน ซื้ออะไร ลูกทานข้าวอะไร แค่นั้น 


ก็เกือบจะพังเหมือนกันนะ ?

เจจินตัย : เกือบครับ ผมไม่เคยร้าวรานนานขนาดนั้นเลย


พลอยเจรู้มั้ยว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่คุยกัน ?

พลอยเจ : รู้ค่ะ 


พลอยเจทำยังไงให้คุณพ่อคุณแม่คุยกัน ?

พลอยเจ : หนูก็เอามือพ่อกับมือแม่มาจับกันค่ะ หนูบอกว่าให้หม่ามี๊บอกไปเลิฟยูแดดดี๊ ให้แดดดี๊บอกไอเลิฟยูหม่ามี๊ 

บี : เขาจะคอยมาถามว่าหม่ามี๊รักแดดดี๊มั้ย เขาจะพยายามเป็นกาวตลอด หรือบางทีเจอผู้ชาย หม่ามี๊คนนี้หล่อมั้ย เราก็บอกว่าหล่อ เขาก็จะโกรธเรามาก หล่อได้ยังไงหม่ามี๊ แดดดี๊หล่อกว่าตั้งเยอะ เขาก็จะเป็นกาวใจอยากให้รักกัน


พลอยเจรู้ได้ยังไงว่าทำแบบนี้แล้วหม่ามี๊กับแดดดี๊จะดีกัน ?

พลอยเจ : หนูทำได้ที่หนูจะทำได้ที่สุดเพื่อให้หม่ามี๊กับแดดดี๊มารักกันค่ะ

เจเจินตัย : เราก็เลยทบทวนตัวเองใหม่เพราะว่าผมกับบีก็แยะแยะแหละ สุดท้ายก็ต้องประคองเพราะว่าคนท่ีเจ็บปวดที่สุดคือลูก เราก็ลดกำแพงลง เข้าไปกอดไม่ต้องพูดอะไรเลย ทำตัวใหม่ ไม่มีมาคุยกันนะไม่ต้องความรู้สึกมันชัดมาก


การกลับมาครั้งนี้มันทำให้เรารู้สึกว่ารักและแน่นแฟ้นกว่าเดิมมั้ย ?

เจเจินตัย : รักครับ รักเลยครับ เมื่อไหร่มันก็มีแค่เรา 3 คนที่ไปเจอประสายการณ์ครั้งนี้ ไม่มีใครรู้ดีเท่าเราสองคน ไม่รู้จะคุยกับใครแล้วเข้าใจเท่ากับเราสองคน มันแน่นแฟ้น เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นเยอะเลย เมื่อก่อนจะเป็นคนที่อะไรก็ได้ง่ายๆให้อภัยได้ ตอนนนี้ก็คือไม่ใช่ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ มันทำให้เราตเองถูกต้องในทุกเรื่องอย่าไปอ่อนแอจนเกินไป มันไม่มีจริงในความหวังดีที่เราคิด 

บี : มันสอนอะไรเราเยอะมาก เช่น ตอนบีไปเราเป็นผู้หญิงเนอะเรารู้สึกเจ็บปวดมากเลย เหมือนเราย้ายครอบครัวมา เอาลูกมา ต้องประคองลูก ตัวเองก็ร้าวรานเหมือนกัน ในขณะที่ลูกเราต้องทำเหมือนไม่เป็นอะไร เขาก็รู้ยังไงก็ปิดเขาไม่มิดเพราะเขาโตแล้ว มันเป็นความเจ็บปวดที่ทรมาน ทั้งที่ตอนอยู่ไทยเราไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ครอบครัวเราปกติมาก มันคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไง สุดท้ายผ่านมาแล้วมันทำให้เรารียนรู้นะ สุดท้ายแล้วเป็นครอบครัวกันเราต้องฟังกันเยอะๆเราต้องคุยกัน เราจะเห็นคนอื่น มองคนอื่น หรือแม้กระทั่งอะไรก็แล้วแต่อย่างน้อยเขาก็เรียนรู้ว่าครอบครัวสำคัญที่สุด 


2 ปี ผ่านอุปสรรคเยอะแยะมากมาย  2 ปีที่อยู่มีโมเมนต์ที่กลับไทยดีกว่า มีมั้ย ?

เจเจินตัย : คิดครับ แต่รู้สึกว่ากำลังเรียนรู้ กำลังทำทุกอย่างเองเป็นแล้ว กำลังรู้โลเคชั่นต่าง ๆ เราก็บู๊กันหมดไปทำใบขับขี่เอง ทำไอดีเปิดบัญชี ทุกอย่างที่เป็นธุรกรรมเราพยายามที่จะศึกษาเองเพื่อที่ให้เข้าใจได้ไว ตอนที่ไม่กลับมาเพราะรู้สึกว่าถ้ากลับมามันจะขาดช่วง เราก็เลยลากเต็มสองปีโดยที่ไม่กลับไทยเลย เราเข้าใจระบบการใช้ชีวิตแล้ว ได้เวลากลับมาซัมเมอร์แล้ว เขาปิดเทอมใหญ่ก็กลับมาหาแม่กัน


จะกลับมาอยู่เลยหรือจะกลับมาแค่ซัมเมอร์เฉย ๆ ?

เจเจินตัย : ตอนแรกตั้งใจมาซัมเมอร์เฉยๆ สุดท้ายแม่ผมได้ยินจากน้องมาเรื่อยๆว่าไม่สบาย บีก็มีแม่คนเดียว เราก็มาตัดสินใจกันว่าเอายังไงดี ถ้าไปรอบนี้อย่างที่บอกมันต้องไปยาว เราเป็นพาร์ทเนอร์กับหุ้นส่วนอื่นๆ ตั้งใจว่าเราอยากจะมีร้านมีธุรกิจของเราแบบ 100% ซึ่งขั้นต่ำในการอยู่ต้องมี 5 ปี ต้องตัดสินใจคิดว่าเอายังไงดี พอมาถามพลอยเจ พลอยเจไม่อยากไปแล้วอยากอยู่นี่ งั้นก็จบเลย 

บี : พอกลับมาเจอครอบครัว เจอคุณยาย คุณย่า เขาคงอบอุ่น เขาคงมีความสุข มีเพื่อนที่นี่ ไม่อยากกลับไปแล้ว 

พลอยเจเพราะอะไรถึงไม่อยากกลับไปที่โน่น ?

พลอยเจ : หนูไม่อยากโดนเพื่อนแกล้งค่ะ

เลยตัดสินใจบินกลับอเมริกาแล้วเคลียร์ทุกอย่าง ?

เจเจินตัย : ไม่ได้กลับเลย เพื่อนเขาส่งของมาชิปปิ้งมา อลังการเยอะแยะไปหมด


คุณไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรที่ต้องเก็บ หรือให้เพื่อนโกยให้หมด?

เจเจินตัย : เก็บมาเยอะมาก

บี : เยอะมาก กล่องประมาณ XXL ประมาณ 10 กล่องใหญ่มาก หลายเดือนกว่าจะส่งหมด คือเราตัดใจแล้วเรารู้ว่าที่โน่นเราไม่มีความสุข เหมือนเรารู้สึกว่าเราอยู่ที่โน่นเหมือนเราอยู่เพราะหน้าที่ เราไม่มีความสนุขเลย เราไม่ได้ใช้ชีวิตเลย เรารู้สึกว่าเราอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว นี่กลับมาที่ไทยก็ไม่มีอะไรนะ แต่เราก็โอเค เรายังรู้สึกว่าที่นี่ทำใหม่ได้ 


ตอนโควิดย้ายไปอเมริกาโละขายหมดทุกอย่าง กลับมาก็ต้องเริ่มใหม่ เห็นว่ากลับมาเล็งว่าจะทำคลินิกเสริมความงาม ?

บี : ใช่ค่ะ คือตอนแรกกลับมาก็คือมีรุ่นพี่คนนึ่งเป็นคุณหมอก็คุยกันว่าเขาอยากจะเปิดคลีนิคเพิ่ม 10 สาขา เพราะตัวเขาอยู่โรงพยาบาลใหญ่อยู่แล้ว เราก็วิ่งหาดูที่คลีนิคไปเรื่อยๆ กลับมาอีกทีประเทศไทยเปลี่ยนไปแล้วค่ะมิจฉาชีพเยอะมาก


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือเจอหมอปลอม ?

บี : ใช่ค่ะ


ไปเจอเขาได้ยังไงแล้วรู้ได้ยังไงว่าเขาปลอม ?

บี : ความที่เราวิ่งหาคลินิกก็เจอ เขาก็วิ่งหาคลีนิคเหมือนกันแล้วเขาก็แนะนำว่าเขาเป็นหมอ

เจจินตัย : เจอที่ตึกพอดีครับ แล้วเขาก็บอกว่าทำด้วยกันมั้ย เขาก็ชวนเลย เราก็รู้สึกว่าเราถนัดพวกมาร์เก็ตติ้งเราถนัดหน้าบ้าน บีบริหาร เราไม่มีหมอ เขาบอกเขาถนัดหมอแต่ไม่มีหน้าบ้านมาจอยกันมั้ยห้าสิบห้าสิบก็เลยเปิดบริษัทร่วมกัน ด้วยโปรไฟล์เขานั่งรถตู้ใส่ปาเต๊ะ 16 ล้าน โปรไฟล์ดีมาก สรุปของเก๊หมดเลย รถก็เช่ามา

บี : ตอนแรกเขาก็เอาใบ ว.แพทย์มา เอามาก็คือปลอมมาซึ่งเราก็ไม่รู้ เราก็บอกว่าทำไมไม่ค่อยเหมือน เขาก็บอกว่าเขาศัลยกรรมมาหมดเลยนะก็จะไม่เหมือน

เจเจินตัย : เขาหนักประมาณ 130 แล้วไปผ่ากระเพาะตัวแบนเหลือ 70 แล้วมันไม่เหมือน 

เริ่มระแคะระคายได้ยังไง ?

เจเจินตัย : ไม่เคยออกเงินเลย ลงเงินเท่าไหร่เขาก็บอกว่าพี่บีออกให้หนูก่อนนะ แรกๆก็ลงเครื่องมือมาประมาณล้านนึงนะคะ ต้องซื้อของมาตุน แต่พี่บีออกให้ก่อนนะ บีโอนให้ พอโอนให้เสร็จอีกวันนึงไปเช่ารถ 911 สีเหลืองมาแบบอลังการให้เรารู้สึกว่าน่าเชื่อถือ ทีนี้พอมาถึงเรื่องค่าเช่าพี่บีออกให้อีกนะ ทีนี้เราก็ไปตรวจหาชื่อเขาในแพทยสภา

บี : เรารู้ชื่อจริงเขาก็ไปตรวจในแพทยสภาไม่ใช่ไม่มีชื่อในแพทยสภาก็คือไม่มีหมอแล้ว เข้าใจเลยว่าจะล้มทั้งยืนเป็นยังไง นอนไม่หลับตลอดเลย 

เจเจินตัย : มีอีกดอกนึงเขาบอกว่าเขาทำจากคลินิกมาจากอีกที่นึง เขาบอกว่าเขาผ่ามาวันละ 9 คน 11 คน ได้เดือนละ 4-5 ล้าน จากการ DF40% เขาเปิดให้ดูหมดเลย แล้วเขาบอกว่าถ้าพี่ทำกับผมนะ ผมมีลูกค้าตามมากับผมอีก 40 คนรออยู่ ต้องการใช้สถานที่ที่มีห้องผ่าตัดเราก็เทคตึกนั้น แล้วเขาก็บอกว่าเขามีลูกค้าแต่บอกว่าต้องใช้เป็นเคสรีวิวนะพี่บี แต่จริงๆรับเงินก้อนมาแล้ว  เราเช็คไปที่คลินิกเดิม คลินิกเดิมขึ้นโพสต์ว่าระวังแก๊งมิจฉาชีพ ผมก็เลยโทรหาพี่ท่านนั้นที่คลินิกว่าเขาชื่อนี้ใช่มั้ย เขาบอกใช่ โอ้โหล้มทั้งยืนเลย 

บี : สุดท้ายพอได้ชื่อเขาไปเช็คนอกจากไม่เป็นแพทย์แล้วก็มิจฉาชีพเลย มีคดีความเพียบ 

สูญเสียเงินไปเท่าไหร่ ?

บี : 3 ล้านกว่า


ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

อ่าน ข่าวบันเทิงวันนี้ ที่เกี่ยวข้อง :