รู้จัก เดนนิส แม็กโดนัลด์ จากไอ้หนุ่มที่ไม่อยากเป็นนักแสดง สู่ เรจจี้ ร่างทองใน "Bad Boys: Ride or Die"
คำเตือน: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ ‘Bad Boys: Ride or Die’
1 ในฉากที่เป็นภาพจำของแฟรนไชส์ ‘Bad Boys’ หนังแอ็กชันตลก Buddy Cop แห่งยุค 90s ก็คือ ฉากที่ มาร์คัส เบอร์เน็ต (มาร์ติน ลอว์เรนซ์ – Martin Lawrence) พูดจาเชิงข่มขู่เรจจี้ แม็กโดนัลด์ (Reggie McDonald) หนุ่มน้อยวัย 15 ปีที่กำลังจะพาเมแกน ลูกสาวของมาร์คัสไปออกเดต โดยมีเพื่อนคู่หูขวางนรก ไมค์ โลว์รีย์ (วิล สมิธ – Will Smith) คอยร่วมผสมโรงกันท่า
นักแสดงเจ้าของบทไอ้หนุ่มเรจจี้ ตัวจริงของเขาก็คือ เดนนิส แม็กโดนัลด์ (Dennis McDonald) หรือชื่อเดิม เดนนิส กรีน (Dennis Greene) ไอ้หนุ่มวัย 15 ปี ที่ได้เข้ามารับบทสุดโด่งดังนี้ใน ‘Bad Boys II’ (2003) และแม้ว่าเขาจะปรากฏในฉากนี้เพียงสั้น ๆ แต่นั่นก็ทำให้ชีวิตของเด็กวัยรุ่นที่ไม่ได้มีความฝันอยากเป็นนักแสดง แต่อยากเป็นนักบาสเก็ตบอลเปลี่ยนไปพอสมควร
“เรียกผมว่าเรจจี้ก็ได้นะครับ” แม็กโดนัลด์เล่าให้ฟังถึงการที่ตัวเขาเองถูกผูกติดกับบทบาทนี้ไปแล้ว ในบทสัมภาษณ์ของเขากับ Entertainment Weekly “ตอนปี 2003 ใคร ๆ ก็เรียกผมว่าเรจจี้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะทั้งครอบครัว เพื่อน หรือคนรู้จักก็ยังคงเรียกแบบนี้มาโดยตลอด รวมทั้งแฟนหนังที่เดินเข้ามาเรียกผมว่า ‘เฮ้ เรจจี้!’ นั่นแหละครับ ที่ผมสงสัยนิดหนึ่งก็คือ ผมว่าต่อให้ผมจะได้ไปแสดงหนังเรื่องอื่น ผมคิดว่ายังไงผมก็จะถูกเรียกว่าเรจจี้อยู่ดี”
แม็กโดนัลด์ หรือที่ใคร ๆ เรียกเขาว่าเรจจี้ เปิดเผยจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้เข้ามาเป็นนักแสดงในแฟรนไชส์นี้ว่า แม้ตอนนั้นเขาจะเป็นแฟนตัวยงของหนังภาคแรก ‘Bad Boys’ (1995) แต่ตัวเขาในวัย 15 ปี ที่เกิดและเติบโตแถวย่านบรองซ์ (Bronx) กรุงนิวยอร์ก และตอนนั้นเขาทำงานเป็นพนักงานในสโมสรเยาวชนที่มีชื่อว่า Boys & Girls Clubs of America ไม่เคยมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงเลยแม้แต่น้อย แต่เขามีความฝันอยากเป็นนักบาสเก็ตบอลมืออาชีพมากกว่า
แต่เรื่องน่าบังเอิญก็เกิดขึ้นหลังจากที่หนังเรื่องนี้มีความต้องการจะสร้างภาคต่อ และทีมงานเองก็กำลังมองหานักแสดงสมทบไปร่วมแสดง แต่บทบาทไอ้หนุ่มหน้าเจื่อนคนนั้นคงจะไม่ใช่เขา หากไม่มีนักบาสเก็ตบอลมืออาชีพแห่งทีม New York Renaissance อย่าง จอห์น ไอแซ็กส์ (John Isaacs) ที่ชอบเข้ามาแวะเวียนสมาคมนี้อยู่บ่อย ๆ เป็นคนหยิบยื่นใบปลิวให้
“เขาเป็น 1 ในนักบาสเก็ตบอลผิวดำคนแรก ๆ ของ New York Renaissance เลยครับ เขามีใบปลิวที่เขียนว่า ‘ถ้าอยากจะเข้าร่วมแสดงในหนัง ‘Bad Boys II’ ให้โทรไปที่เบอร์นี้ ๆๆๆ ‘ ผมก็เลยโทรไป แล้วผมก็ได้รับบทนั้นจริง ๆ ครับ”
แต่แม้ว่าบทบาทของเรจจี้ จะมีความสำคัญแค่เพียงการรับบทเป็นแฟนหนุ่มของ เมแกน เบอร์เน็ต ลูกสาวของมาร์คัสที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว (ส่วนเบอร์เน็ตเองก็แก่ตัวมากขึ้นตามไปด้วย) แต่บทบาทนี้ก็ไม่ได้เล่นแบบพอผ่านไปได้ง่าย ๆ เพราะเขาต้องเจอกับไม้เด็ดที่ ไมเคิล เบย์ (Michael Bay) รวมทั้งสมิธและลอว์เรนซ์ ที่จัดไว้ให้นักแสดงหน้าใหม่รูปร่างผอม ๆ ใส่เข็มขัดใหญ่ ๆ สุดจะเด๋อด๋าคนนี้
ด้วยความที่เบย์รู้ว่า แม็กโดนัลด์เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่ไม่เคยมีผลงานการแสดงใด ๆ มาก่อนเลย การถ่ายทอดอารมณ์สีหน้าหวาดกลัวคุณพ่อตา (และเพื่อนพ่อตา) ในอนาคตจึงไม่ใช่สิ่งที่เปิดปุ๊บติดปั๊บ เบย์จึงเตี๊ยมให้สมิธและลอว์เรนซ์แกล้งปฏิบัติตัวแบบแย่ ๆ และไม่ยอมพูดคุยกับเขาในกองถ่าย แถมยังแกล้งทำเป็นทะเลาะกันเองแบบแรง ๆ ต่อหน้า เพื่อกดดันให้เรจจี้รู้สึกอึดอัดและหวาดระแวงจริง ๆ
จนเมื่อเริ่มถ่ายทำ กล้องก็สามารถจับสีหน้าเจื่อน ๆ จากความหวาดกลัวบารมีของ 2 ดาราคู่หูขวางนรกเอาไว้ได้ แถมโดนน้าไมค์งัดปืนขู่ เล่นเอาไอ้หนุ่มเรจจี้ถึงกับหน้าซีด กลายมาเป็นฉากเด็ดที่ย้อนดูเมื่อไหร่ก็ฮา และบทบาทนี้ก็ส่งให้เขากลายมาเป็นที่รู้จักเขาในฐานะไอ้หนุ่มเรจจี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิด และทำให้เขาได้โอกาสกลับมารับบทเดิมอีก 2 ภาค ทั้งในภาคต่อมา ‘Bad Boys for Life’ (2020) ที่เฉลยว่าเขาได้เป็นทหารนาวิกโยธิน ได้แต่งงานกับเมแกนสมใจ และมีลูกชายตัวน้อยที่ตั้งชื่อตามคุณตา
“ผมเองไม่เคยคิดว่ามันจะยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยครับ ผมคิดแค่ว่ามันคงเป็นช่วงเวลา 2 นาที่ที่คนดูคงจะลืมมันไป คุณไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นด้วยการทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ มันเป็นอะไรที่เกินคาดไปมาก”
และเรจจี้ก็ยังได้กลับมาอีกครั้งในภาคล่าสุด ‘Bad Boys: Ride or Die’ ที่พลิกภาพจากไอ้หนุ่มน้อยหน้าเจื่อนในอดีต กลายเป็นเรจจี้ร่างทอง เป็น MVP ของตัวหนังที่ใครเห็นก็ต้องอึ้ง ไม่เว้นแม้แต่พ่อตาของเขาอย่างมาร์คัส โดยเฉพาะในฉากสำคัญที่ไมค์ มาร์คัส และผู้กองคอนราด ฮาวเวิร์ด (โจ แพนโทเลียโน – Joe Pantoliano) ผู้ล่วงลับ ถูกแก๊งอาชญากรของ เจมส์ แม็กกราธ (อีริก เดน – Eric Dane) ใส่ร้ายว่ามีส่วนพัวพันกับคดียาเสพติด
ในขณะที่ไมค์และมาร์คัสกำลังทำการแฮกข้อมูลที่สถานีตำรวจไมอามี มาร์คัสได้สั่งให้เจ้าหน้าที่แฮกเข้าระบบกล้องวงจรปิดในบ้านตัวเอง และพบว่าแม็กกราธกำลังส่งลูกน้องไปสังหารครอบครัวของทั้งคู่ จนกระทั่งพวกเขาได้เห็นลูกเขยโชว์ศักยภาพของนาวิกโยธินสุดแข็งแกร่ง ลุยเดี่ยวสังหารผู้ร้ายด้วยการต่อสู้หลากรูปแบบเพื่อปกป้องแม่ยายและภรรยาจนปลอดภัยแบบหวุดหวิด ส่วนไมค์และมาร์คัส (และผู้ชม) ถึงกับตกตะลึงคาจอ
แม็กโดนัลด์เล่าถึงเบื้องหลังการเปลี่ยนเป็นเรจจี้ร่างทองในฉากไฮไลต์นี้ว่า “นี่ถือเป็นความโชคดีของผมเลยครับ ตอนที่ผมได้รับบท และรู้ว่าผมต้องทำอะไรบ้าง ผมรู้เลยว่านี่จะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่และจริงจังมาก ในที่สุดเขาก็ได้เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน ในที่สุดมาร์คัสและไมค์ก็ยอมรับเขา ในที่สุดเขาก็ได้รับสิ่งตอบแทน ผมเลยมีความสุขกับสิ่งนี้มาก ๆ ครับ”
เขายังเล่าเพิ่มเติมอีกว่า เพื่อให้ได้ฉากแอ็กชันที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ เขาต้องเข้ารับการฝึกอบรมอยู่นานถึง 3 เดือน และใช้เวลาถ่ายทำฉากนี้ยาวนานถึง 3 วันจนจำทุกอย่างได้แม่นยำ “ตัวผมเองต้องปรับตัวเข้าสู่โหมดทหาร ผมเข้าอินเทอร์เน็ตลองค้นหาสิ่งต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับการฝึกทหารและอะไรทำนองนั้น ดังนั้นก่อนที่ผมจะไปฝีกทหารจริง ผมเลยนำหน้าคนอื่นไปแล้วก้าวหนึ่ง”
View this post on Instagram
“มีหลายครั้งเลยครับที่พวกเขาต้องใช้ Special Effect และเลือดก็กระเด็นเข้าตาผม แต่ผมก็ยังคงถ่ายต่อไปในฉากนั้น ผมพยายามแทงศอกใส่ชายคนนั้น แล้วพยายามจะดึงลูกกระสุนออกจากปืนของเขา ทั้งฉากนั้นผมมองอะไรไม่เห็นเลย ผมเลยต้องทำไปตามที่ผมจำท่าทางได้ เป็นอะไรที่ดุเดือดมาก”
แต่หลังจากนั้นเขาก็ระลึกได้ว่า ฉากบ้านของมาร์คัสที่เห็นในหนังนั้นเป็นเพียงฉากที่สร้างขึ้น “ตอนที่ผมกำลังถ่ายทำ ผมรู้สึกเหนื่อยมาก ผมเลยเข้าไปในครัวและลองเปิดก๊อกเพราะอยากจะได้น้ำล้างตา แล้วผมก็ ‘เฮ้ยแม่-ของปลอมนี่หว่า ลืมไป’ คือมันเหมือนจริงขนาดนั้นเลยนะครับ”
ความกล้าหาญของเรจจี้ สามารถช่วยปกป้องครอบครัวของมาร์คัสเอาไว้ได้ ด้วยการสังหารผู้ร้ายที่ได้รับการฝีกฝนมาเป็นอย่างดี 15 คนในบ้านของมาร์คัสได้อย่างราบคาบ จนทำให้ในฉากสุดท้าย พ่อตาสุดเฮี้ยบอย่างมาร์คัส และลุงไมค์ ที่กำลังเมาท์มอยลูกเขยและรุมแย่งกันทำหน้าที่หน้าเตาย่างบาร์บีคิว จนในที่สุด ทั้งคู่ก็ยอมยกให้ลูกเขยได้รับเกียรติทำหน้าที่นี้ ก่อนจะจบลงด้วยรอยยิ้มของเรจจี้เป็นช็อตสุดท้าย
“นั่นมันไม่มีอยู่ในบทเลยครับ เป็นอะไรที่บ้ามาก ผมอยู่ในกองถ่ายที่ไมอามี พอเสร็จแล้วผมก็บินกลับบ้าน จากนั้นอีกประมาณ 3-4 วันหลังจากนั้น พวกเขาก็โทรมาตามผมกลับไปไมอามีเพื่อถ่ายทำฉากนี้เพิ่มเติม”
“พวกเขาบอกผมว่า พวกเขาต้องการให้ผมกลับมา ดังนั้น ผมเลยคิดว่าผมคงต้องทำอะไรบางอย่างใหม่อีกครั้ง แต่กลายเป็นว่า ผมมีบทพูด ผมมีบทบาท และมันก็เป็นตอนจบของหนังด้วย พวกเขาบอกว่า ‘ใช่ บทของนายจะปิดจบตัวหนัง มันจะจบลงด้วยใบหน้าของนาย’ และผมก็แบบ ‘นี่คุณล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย ? ‘ ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก ๆ “
เรจจี้ก็เหมือนกับตัวของแม็กโดนัลด์ ที่ปกติมักจะไม่ค่อยชอบยิ้มแย้มแจ่มใสมากนัก ดังนั้นเขาจึงต้องยอมลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำเพื่อแสดงฉากนั้น แต่เขาเองก็ภูมิใจที่ได้เห็นว่าทุกอย่างออกมาเป็นอย่างไร “เมื่อผมได้เห็นทุกอย่างประกอบเข้าด้วยกัน ผมก็แบบว่า ‘ใช่ ผมทำแบบนั้นได้ด้วยล่ะ!'”