"เข้ม หัสวีร์" เปิดใจครั้งแรก ไม่ต่อสัญญาช่อง 7 ย้อนเล่าชีวิตวัยเด็ก

ครั้งแรก “เข้ม หัสวีร์” พระเอกแถวหน้าของเมืองไทย วันนี้ขอเคลียร์ชัด ๆ ต่อหรือไม่ต่อสัญญาต้นสังกัดเดิมกันแน่ พร้อมขอย้อนเล่าชีวิตวัยเด็กที่เกเรหนักมาก ถึงขั้นครอบครัวต้องดัดนิสัยให้มาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว ตั้งแต่อายุ 15 ปี เปิดนาทีเฉียดตาย ทำงานหนักจนฉี่เป็นเลือด และเรื่องราวน่าขนลุก เสน่ห์แรงจนถูกทำของใส่ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี ดีเจพุฒ พุฒิชัย , หนิง ปณิตา และ เบนซ์ พรชิตา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
"เข้ม หัสวีร์" เปิดใจครั้งแรก ไม่ต่อสัญญาช่อง 7 ย้อนเล่าชีวิตวัยเด็ก
>>กดดูทีวีออนไลน์ ช่องวัน31<<
ออกรายการนอกช่องครั้งแรก?
เข้ม : “ตื่นเต้นมากครับ ไม่เคยออกที่ไหนมาก่อน”
สัญญาช่องเดิมหมดแล้ว ต่อมั้ย?
เข้ม : “ไม่ได้ต่อครับ ตอนนี้เป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว สักพักแล้วครับ มีการพูดคุยมาเป็นปี เตรียมตัวเป็นปีกว่า ได้คุยกับผู้ใหญ่ที่ช่องเรื่อยๆ ว่าแนวโน้มเราจะเป็นยังไง เราจะทำยังไงต่อ เราจะเป็นยังไง จนครั้งสุดท้ายที่ได้เข้าไป ตัดสินใจไม่ต่อ จริงๆ เข้มชอบทำงานมาก เวลาทำงานอยากสร้างลายเซ็น หรือรูปแบบการทำงาน รายละเอียดในตัวละครต่างๆ พอเราอยู่กับช่องมาเป็นเวลา 8 ปี ค่อนข้างเข้าใจรูปแบบคาแรกเตอร์ช่องว่าตัวละครจะเป็นแบบนี้ จนมันเคยชิน และไม่ตื่นเต้นกับตรงนั้น ก็เลยรู้สึกว่าถ้าออกมาข้างนอก น่าจะได้การทำงาน หรือรูปแบบการทำงานแบบใหม่เพิ่มขึ้น”
คิดนานมั้ยกว่าจะตัดสินใจ เห็นว่ากลุ้มใจเป็นปีๆ เพราะเป็นเรื่องใหญ่?
เข้ม : “ใหญ่ครับ ช่อง 7 เหมือนบ้านเลยครับ เราอยู่ด้วยความอบอุ่น เป็นลูกที่เติบโตจากช่องมาอยู่แล้ว พอจะหมดก็หนักใจ และพยายามคุยกับผู้ใหญ่ทางช่องว่าจะเป็นยังไง คุยกับผู้ใหญ่หลายๆ คนว่าออกมาแล้วเป็นยังไง การออกมาก็มีความเสี่ยงหลายอย่าง ไม่รู้ว่าจะสำเร็จมั้ย การออกมาเราจะเจออะไรบ้าง แต่ผู้ใหญ่ก็น่ารัก ทุกวันนี้เข้มยังมีละครที่ต้องรับผิดชอบและเข้าไปร่วมงานกับช่องอยู่ ทุกปีใหม่ ทุกเทศกาลเข้มก็เข้าไปหาผู้ใหญ่ปกติ ผมก็ถามผู้ใหญ่ว่าถ้าผมออกไป ผู้ใหญ่จะมองเป็นเด็กอกตัญญูมั้ย เขาบอกไม่อกตัญญู เข้าใจ ถ้าอยากมีแพสชั่น หรืออยากเติบโตในหน้าที่การงานยังไง เขาก็ยินดีมากๆ”
ตอนนี้เป็นนักแสดงอิสระเต็มตัวแล้ว สักพักแล้ว แค่ไม่ได้ออกมาพูด?
เข้ม : “ใช่ครับ ยังไม่ได้พูดกับที่ไหน เรายังรับผิดชอบงาน ทำงาน จนไม่มีเวลาได้ออกมาพูดคุยกับสื่อ”
กับน้องแอนน่า ยังไง เกิดอะไรขึ้น เห็นว่ามีภาพหลุดกลางคอนเสิร์ต?
เข้ม : “ผมยังไม่เห็นภาพดีนัก แต่เหตุการณ์วันนั้นเข้มรู้จักแอนน่าอยู่แล้ว เคยร่วมงานกันที่ 7 สีคอนเสิร์ต แล้วในงานแอนน่ารู้จักผมกับพี่เบล ภรรยาพี่ก้อง วันนั้นผู้ชายอยู่เยอะ แอนน่าให้กันให้หน่อย ก็เข้าไปดูแลแหละครับ เขารู้จักเราแค่คนเดียว เข้าไปดูแล ไม่ได้มีอะไรมาก แต่หน้าผมดูเมา (หัวเราะ) ทุกคนชอบงานคอนเสิร์ต เขาก็ไปเที่ยวไปเล่นคอนเสิร์ต ผมดูแลทุกคนไม่ว่าไปเที่ยวที่ไหน ไม่ใช่เฉพาะแอนน่า น้องปูเป้ หรือทุกๆ คน มุกดา หรือพี่เปรี้ยว หรือหลายๆ คน ถ้าไปเที่ยวด้วยกัน ก็ดูแลเป็นเรื่องปกติ”
วัยเด็กผ่านอะไรมาบ้าง?
เข้ม : “ผมไม่ได้มีความฝันที่อยากจะเป็นดาราตั้งแต่แรก เพราะว่าพูดไม่เก่ง ขี้อาย เข้าสังคมไม่เป็น ช่วง 10 ขวบเป็นช่วงมีปัญหากับสภาวะจิตใจตัวเองเพราะพ่อแม่แยกทางกัน แต่ครอบครัวอบอุ่นมากๆ ให้การเลี้ยงดูที่ดีมากๆ แยกทางกัน แม่กับพ่อออกไปทำงาน การตัดสินใจทุกอย่างก็อยู่ที่ตัวเอง ดีชั่วยังไงจะเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองแทบทั้งหมด โดยมีพี่สาวคอยประคองกับคุณตาคุณยาย เลยเข้าสู่เส้นทางความเกเรของตัวเอง ช่วงพีคๆ อยู่มัธยม เกเรหนัก”
หนักขนาดไหน?
เข้ม : “ต่อยตีกันตลอดเวลาในรั้วโรงเรียนบ้าง ต่างอำเภอบ้าง”
พื้นฐานเป็นคนไม่ได้อยากมีเรื่อง แค่อยากเรียกร้องความสนใจให้พ่อแม่หันมามองเรา?
เข้ม : “ด้วยอีกหนึ่งเหตุผลครับ มันเหมือนเด็กที่ถูกเลี้ยงดีด้วยหลานชายคนเดียว เขาประคบประหงมเอาใจใส่ทุกอย่าง อยู่มาวันนึงมันไม่มีตรงนั้น มันเหมือนสปอตไลท์ถูกปิด ทุกอย่างมืด เราก็ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างตัวตนว่าฉันกำลังเรียกร้องความสนใจ”
เป็นอาการขาดความรัก?
เข้ม : “ใช่ น่าจะเป็นอย่างนั้น”
พอสร้างเรื่องชกต่อย เรียกร้องความสนใจ แล้วได้รับความสนใจกลับมามั้ย?
เข้ม : “ได้นะครับ แต่ผมก็ไม่รับ (หัวเราะ) ก่อนเกิดเรื่องพ่อเลี้ยงผมตั้งแต่เด็ก แม่เป็นคนออกมาทำงาน ก่อนพ่อออกไปทำงาน พ่อบอกว่าเป็นลูกผู้ชายเนี่ย ถ้าจะดีก็ดีให้สุดขั้ว ถ้าชั่วก็ต้องสุดขีด ผมก็นั่งมองตัวเองจะดีหรือจะชั่วดี แต่สภาพแวดล้อมในหมู่บ้านก็ต้องเลือกทิศทางเอาเพื่อนเป็นหลักอยู่แล้ว”
เกเรข้างนอก แต่กลับบ้านไม่มีใครรู้ทำยังไง?
เข้ม : “เสื้อผ้าไม่เลอะ เพราะเพื่อนจะมีกลุ่มอยู่ประมาณ 7-8 คน เข้มเป็นตัวเปิดให้ก่อน เข้าไปต่อยให้ก่อน แล้วเพื่อนก็ค่อยเข้าไป เราต่อยเสร็จเปรี้ยงก็เดินออก เพื่อนๆ ก็ตุ๊บตั๊บๆ เพื่อนที่เหลือก็โดนจับเข้าคุกตร. คุกขังหมา เราก็เป็นคนที่รอด ไปบอกพ่อแม่เพื่อนมาประกัน (หัวเราะ) มีเรื่องไม่เคยไปรพ. แต่ไปโรงพักบ่อย พาคุณแม่เพื่อนๆ ไปประกันตัว ผมว่าผมโชคดีมากที่รอด แต่ไม่ใช่เด็กทุกคนจะโชคดีแบบผม”
สร้างเรื่องสร้างราวให้ก้อง ห้วยไร่ในอดีต?
เข้ม : “หนึ่งในความเกเรของผมครับ จะเป็นงานคาราวานขับมอเตอร์ไซค์ ต่างจังหวัดเที่ยวๆ ช่วงเจริญศิลป์ สกลฯ ขับผมแล้วเห็นเพิงขายแตงไทยข้างทาง ขายไก่ย่าง ผมก็ขับรถผ่าน อากาศมันหนาวว่ะ หาอะไรทำกันดีกว่า (หัวเราะ) มันเป็นเถียงนา ก็เผากับเพื่อน อยากได้ความอบอุ่น มันเป็นความคึกคะนอง เพื่อนๆ ก็ท้ากันด้วย เผามั้ย เล่นมั้ย มันเป็นซุ้มหญ้า เผาแล้วไหม้ดีมาก และไหม้เร็วมาก พี่ก้องมารู้ตอนรู้จักกัน พี่ก้องให้ผมไปหาที่บ้าน ผมก็ที่ตรงนี้มันคุ้นจังเลย พี่ เมื่อก่อนมีเถียงนาตรงนี้ใช่มั้ย มีแตงไทยขายตรงนี้ใช่มั้ย พี่ก้องบอกว่าใช่ ผมเคยเผาด้วยนะพี่ (หัวเราะ) พี่ก้องก็คำหยาบล้วนเลย มึงเผาเถียงพ่อกู มึงตาย (หัวเราะ) จากแตงไทยลูกดิบๆ สุกหมดเลยครับ เขาก็เอาผมไปด่าทุกที่เลย บอกว่าไม่โกรธไม่จำ แต่เล่าทุกที่”
ชีวิตช่วงนั้นสอนอะไรเราบ้าง?
เข้ม : “ด้วยความเกเรแหละครับ เลยถูกส่งตัวมาทำงานที่คลองหก เป็นโรงงานของคุณอา และมาเป็นช่าง ตอนนั้นไม่เข้าใจคุณตาว่าทำไมเอาเรามาอยู่ที่นี่ เขาคงเกลียดเรามั้ง”
ถูกส่งดัดนิสัยที่กรุงเทพฯ?
เข้ม : “ใช่ครับ ให้เงินพันนึงดูแลตัวเอง ผมก็ได้ ผมก็หาซื้อพวกบะหมี่สำเร็จรูปมาเตรียมไว้ เดือนแรกได้อยู่ ทำงานไปเรื่อยๆ มาเดือนสอง เราไม่รู้การบริหารจัดการเรื่องเงิน ได้เงินมา 6 พัน เยอะนะครับ ผมซื้อทีวีไปเลย 3 พัน ตู้เสื้อผ้า 2 พัน เหลือพันนึง อยู่ไม่ถึงเดือนครับ ข้าวหมด แต่ตอนนั้นมองกลับไปเป็นเรื่องตลก แล้วมันเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตตัวเองคือไม่ได้กินข้าว บวกกับเราทำงาน ทำโอที เพื่ออยากได้เงินเยอะๆ เป็นช่างเชื่อมจะมีควัน เราได้ดมอยู่อย่างนั้น ด้วยพักผ่อนน้อยและปัจจัยหลายๆ อย่าง ทำให้เกิดอาการแย่ คือฉี่เป็นเลือด เป็นสเก็ดเวลาตกลงไปในโถมันกระจายออก ก็คิดว่าร่างกายมันไม่ได้ มันไม่ปกติ”
ตอนทำงานช่างเชื่อม อายุเท่าไหร่?
เข้ม : “15 ย่าง 16 ครับ เราไม่กล้าขอเงินด้วย ด้วยศักดิ์ศรีตัวเอง ฆ่าได้หยามไม่ได้ ถ้าให้ทำงานจนตายก็จะทำงานจนตาย จะไม่ขอใครกิน จะไม่ลดทิฐิเรื่องพวกนี้”
น้อยใจที่บ้านล้วนๆ?
เข้ม : “น้อยใจ ผมคิดว่าตาเกลียดผม มันมีเรื่องราวกันที่บ้าน มีผู้ใหญ่มาบอกว่าเข้มตอนนี้เริ่มแย่แล้วนะ มีคนจับตามอง อาจไปจบที่สถานพินิจ หรือสถานกักกันเรื่องการบำบัดทุกอย่าง มีเรื่องพวกนั้นค่อนข้างเยอะมาก ตาไมได้บอกเหตุผล แต่พาผมมาที่นี่เลย ด้วยอารมณ์ตอนนั้นเขาเกลียดแหละ ไม่อยากให้อยู่ใช่มั้ย ไม่อยู่ก็ได้ ตาก็ไม่ให้เหตุผล ผมติดเพื่อน เขาบอกว่ามึงไปทำงานที่กรุงเทพฯ ถ้ามึงเลือกที่จะไม่เรียน ไม่มีส่วนร่วมในครอบครัว มึงก็ไป ออกไปจากบ้าน”
เขารักแค่ไม่ให้เหตุผล วันนี้เข้าใจแล้ว?
เข้ม : “เข้าใจแล้วครับ ช่วงที่เข้าใจ เป็นช่วงที่ผมเกือบจะตาย ไม่ได้กินข้าว ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ปกติแล้ว ขาดข้าว 2-3 วัน กลายเป็นว่าจะตายแล้วจริงๆ ผมไม่ได้คุยกับแม่ประมาณ 5-6 ปี ไม่คุยเลย แม่โทรมาก็ไม่รับสาย จะถามข่าวจากพี่สาวตลอด จะไม่ได้คุยกับผมโดยตรง ถ้าให้พูดความรู้สึก ตอนนั้นเกลียดแม่ ไม่ชอบ ไม่คุย ไม่ยุ่ง เพราะผมอยู่กับพ่อ พ่อเลี้ยงดูและบอกเหตุผลบางอย่างให้เราซึมซับไปด้วยความคิดของตัวเอง จนถึงวันที่เราจะตาย คนแรกที่คิดถึงเลยคือแม่ที่คอยดูแลตั้งแต่เด็ก กลับบ้านมามีข้าวให้กินนะ ทุกอย่างอยู่ด้วยความอบอุ่นทั้งหมด ไม่ใช่ครอบครัวที่ไม่ดี แต่เป็นความคิดเราที่ไม่ดี เราเป็นคนหันหลังให้ครอบครัวเอง จำได้ว่าแม่เคยโทรมาในเบอร์ต่างประเทศ ผมบอกแม่ผมจะตายแล้ว แม่ได้ยินเสียงผม แม่ร้องไห้ แล้วตัดสินใจกลับมา บอกให้ผมไปขอกินข้าวเถอะ ผมบอกผมขอได้ไง เขาบอกไปขอให้กินข้าวก่อน เดี๋ยวแม่จะกลับมาหา ก็ตัดสินใจไปขอข้าวเขา ถ้วยแบ่งซุปเล็กๆ เขาเหลือแค่นั้น ก็กินแค่นั้น ชื่อพี่หนู พี่ยม เขาเป็นสปป.ลาว”
ตอนได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ รู้สึกยังไง?
เข้ม : “ตอนนั้นพอได้ข้าวมาถ้วยนึง และได้ฟังเสียงแม่ ผมรู้สึกว่าข้าวมื้อนั้นอร่อยที่สุดในชีวิต มันเย็นยังไงแต่ก็รู้สึกดี มันอบอวลไปด้วยความรู้สึกอะไรไม่รู้ กินข้าวไปฟังเสียงแม่ไป แม่เล่าว่าพรุ่งนี้เริ่มชีวิตใหม่นะ ก็ร้องไห้ เป็นการการกินข้าวมื้อที่อร่อยมาก แล้วก็ได้กราบขอขมาแม่ ได้พูดคุยกันเรื่องเหตุผล ว่าทำไมแม่ต้องออกมาเป็นเสาหลักหาเงินส่งมาที่บ้าน เล่าเหตุผลตั้งแต่เด็กจนโต ณ ปัจจุบันนั้นให้ฟัง ก็เข้าใจแม่มากขึ้น ทุกวันนี้ก็เลยขาดแม่ไม่ได้ แม่ก็อยู่กับเข้มยาวๆ เลย วันนั้นมันทลายกำแพงหมดเลย อีโก้ไม่ได้ทำให้เรามีชีวิตที่ดี ไม่ได้ทำให้เราเท่ สิ่งที่เท่คือการดูแลครอบครัว สิ่งที่เท่คือเอาใจใส่คนรอบข้างให้มากที่สุด ตอนนี้แม่อยากได้อะไร ผมซัปพอร์ตหมด”
เป็นเหตุผลที่อยากทำให้เข้าวงการบันเทิงด้วยมั้ย?
เข้ม : “ด้วยครับ เรามีรุ่นพี่ที่อยู่ในวงการ ตอนนั้นพูดไม่เก่ง พูดไม่เป็น เข้าสังคมไม่ได้ ก็เข้ามาเดินแบบ ทำงาน รับเงินสามพัน กลับบ้าน จนหมดช่วงเดินแบบ มาเป็นช่วงดิจิทัล เดินแบบหายหมดแล้ว ก็มาลองเล่นเอ็มวีบ้าง ไปแคสทุกอย่าง จนมีโอกาสได้มาช่อง 7 ตอนนั้นยังไม่เจอแม่หนิง ปณิตา เจอแม่จุ๋มก่อน แม่จุ๋มเอ็นดู และมาเจอแม่หนิงอีกคน ซึ่งเข้ามา โอ้ย ไม่ชอบเลย เขาเพิ่งบวชเสร็จ ผมสั้นๆ ดูเหวี่ยงๆ ผมไหว้เขาไม่รับไหว้ผมด้วย เจอกันที่งานช่อง โอ้โห โคตรหยิ่ง ภาพจำคือไม่เอาแล้ว ไม่คุยกับผู้หญิงคนนี้แน่ๆ ไม่ร่วมงาน”
หนิง : “จริงๆ ด้วยสายตา เราไม่เห็น แล้วเวลาทำงาน สมองก็โฟกัสโน่นนี่ เราจะเห็นว่ามีเด็กใหม่ๆ เข้ามาทางช่องตลอด เขาเป็นคนที่มีคนเคยพูดถึง แม่จุ๋มบอกว่าเด็กคนนี้ดีนะ ตอนวางตัวละคร เขาเป็นคนที่หนิงรอคอยคิวเขาเหมือนกัน แต่หนิงโทรไป เรื่องเยอะมาก ตัวเขาและผู้จัดการเขาเรื่องเยอะมาก เราก็คิดว่าเฮ้ย วันนั้นเราโทรไปเองเลยนะ เราอยากได้เขามาเป็นพระเอกของเรา แต่เขาเรื่องเยอะเต็มไปหมด”
เข้ม : “ตอนแรกไม่รับ ยังไงก็ไม่รับแน่ๆ เพราะถ้ารับต้องเครียดแน่ๆ คงทำให้บรรยากาศการทำงานเครียด ภาพตอนนั้นดูพี่หนิงเครียด ไม่บ้านก็รพ. มีสองที่ที่เขาจะไป ใช้ชีวิตในรพ.เป็นบ้าน ถ้าเราทำงานกับเขาก็คงเครียด เราก็เลยบอกพี่หนิง ถ้าจะเอาผมมาเล่น ผมขอแค่ข้อเดียว ห้ามเครียดในกอง บรรยากาศในกองต้องสนุก ถ้าเครียดผมทำงานไม่ได้ ถ้าเมื่อไหร่แม่เครียดปุ๊บผมจะเป็นคนเล่นละครไม่ได้ แล้วแม่จะเสียเวลาในการทำงานนะครับ ต้องแลกเอานะครับ”
หนิง : “ก็แลกค่ะ จนตอนนี้ก็ต้องแลก จะเอาอะไรก็ต้องให้”
เข้มเหมือนลูกชาย รักเหมือนลูก ดูแลทุกอย่างเลยมั้ย?
หนิง : “อย่าเรียกว่าทุกอย่าง แต่ถ้าอะไรที่หนิงทำให้ได้ หนิงเตือนได้ หนิงบอกได้ หนิงก็อยากจะทำให้เขา”
เคยโดนทำของใส่ รู้ได้ยังไง?
เข้ม : “มีคนเตือน ซึ่งจริงๆ ผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ด้วยยุคที่สมัยที่ผ่านมานานมากๆ แล้ว มันไม่น่าจะมีการเล่นของ ทำของใส่ วิธีการทำของก็ไม่รู้ด้วย พระอาจารย์ที่นับถือบอกว่าน่าจะโดนของนะ หลวงพ่อวราก็บังสุกุลเป็น ยังสุกุลตายให้ ซ้อพี่หนิงก็บอก พี่ก้อง ห้วยไร่ก็บอก ผมปกติเลยครับ แต่พี่สาวจะรู้เวลานั่งด้วยกัน ผมจะไม่เหมือนเดิม”
หนิง : “คนรอบข้างบอกว่าเขาไม่ปกติ หนึ่งคุยอะไรกันจะไม่มีโฟกัส สองพูดอะไรก็เหมือนเด็กดื้อ ไม่ฟัง เวลารับปากอะไรจะไม่ทำตามที่พูด ทั้งที่เขาเป็นเด็กดีมากๆ มีวินัย คนละทางกับที่เขาเป็นอยู่”
นานหรือยัง?
เข้ม : “ช่วงกลางๆ ปีที่แล้ว ช่วงนั้นมีเหตุการณ์แปลกๆ แม่จะได้ยินผมคุยกับผู้หญิงขึ้นบนห้อง ซึ่งผมไม่เคยพาผู้หญิงมาบ้าน เดินคุยกัน แล้วจะมีเรื่องแม่เห็นในกล้องวงจรปิด ผมสั่งอาหารมากิน ลงไปรับ ทั้งที่ผมอยู่ที่กองถ่าย ทุกคืนจะมีเสียงแปลกๆ อยู่ในห้องผม เสียงคนเดินโน่นนี่นั่น มีเหตุการณ์ที่ผมนอนเล่นกับแม่ แล้วผมละเมอตีตัวเอง ซึ่งผมไม่รู้เลย ผมใช้ชีวิตปกติ ทำงาน กลับมา แต่ไม่ค่อยเข้าสังคม ไม่ออกไปไหน ไม่เจอผู้คน บอกคนอื่นว่าผมเป็นอินโทรเวิร์ต จนสุดท้ายพี่ก้อง ห้วยไร่นี่แหละบอกว่าที่บ้านเลี้ยงผีมั้ย ก็บอกว่าไม่ได้เลี้ยง ที่บ้านเชื่อเรื่องการทำบุญ เขาก็บอกว่ามึงน่าจะโดนเล่นของใส่นะ เล่นของใส่มีหลายแบบ เขาบอกว่าเขาก็เคยโดนของใส่ คนรับแทนคือพี่เบล ภรรยา พี่เบลอ้วกเป็นเลือด ถ่ายท้องเป็นเลือด”
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
อ่าน ข่าวบันเทิงวันนี้ ที่เกี่ยวข้อง :