บทละครโทรทัศน์ คุ้มนางครวญ ตอนที่ 19 หน้า 3
20 กุมภาพันธ์ 2557 ( 14:12 )
1.2M
“คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เจ้านางยอดหล้าไม่มีวันทำร้ายคุณหรอก”
“แต่ก็แปลกนะ จู่ๆ ทุกอย่างก็สงบ เหมือนไม่มีเรื่องราวอะไรมาก่อน”
“เจ้านางยอดหล้า อาจมีงานอื่นที่ต้องทำ ละมังคะ”
ที่หอสังเกตการณ์ดูผิดแปลกกว่าทุกวัน ที่กลางห้องมีแท่นหินกลมแบนซ้อนกันลดหลั่นเป็น 3 ชั้นคล้ายขั้นบันได บนชั้นสูงสุดคล้ายเป็นบ่อเพลิงลึกลงไป ละม้ายคล้ายกับถ้ำสุสานผีขาเดียว ในสี่ทิศมีกระถางไฟจุดสว่าง ที่บ่อเพลิงมีไฟลุกวอมแวม รอบด้านมีม่านขาวขึงไว้ เถรกระอำยืนอยู่ร่ายเวทมนต์อยู่หน้าบ่อเพลิง ยอดหล้ายืนอยู่ใกล้ๆ ห่างออกมาบนแท่นมีร่าง 3 คน นอนเรียงราย นางผัน นางเผื่อน ยืนคุมเชิงอยู่ แก้วอยู่ห่างออกมา ฟ้าแลบสว่าง เสียงฟ้าร้องคำราม ผสานกับเสียงอ่านมนต์ ฟังดูน่าสะพรึงกลัว
ชายทั้งสามขยับตัว พูดร้องไม่ได้ แต่รู้สึกตัวตาเหลือกลาน เถรกระอำลืมตาขึ้น
“ได้เวลาแล้ว”
เถรกระอำตวัดมีดคมปลาบขึ้นก้าวมายังเหยื่อทั้งสาม ที่ตาเหลือกลาน ดิ้นรน แก้วมองอย่างหวาดหวั่น เสียใจ ยอดหล้ายืนหลับตานิ่ง เถรกระอำยิ้มชูมีดขึ้นแล้วจ้วงลง ล้วงมือเข้าไปในทรวงอกกระชากหัวใจขึ้นมาชู
เถรกระอำหันกลับ 2 มือกอบหัวใจ 3 ดวงไว้ก้าวมายังบ่อเพลิง ผ่านยอดหล้าที่ยังหลับตานิ่ง ฟ้าแลบเข้ามา เถรกระอำพลันโยนหัวใจลงในบ่อเพลิง ทันใดไฟในบ่อเพลิงพลันลุกเป็นลำสูงไปราว 2 เมตร
“ยอดหล้า จงก้าวสู่เปลวไฟ”
ยอดหล้าลืมตาขึ้นเดินช้าๆ ก้าวลงในบ่อเพลิง ไฟลุกอยู่รอบตัว
ทุกคนพิศวงกับภาพตรงหน้า ทันใดเกิดพายุกรรโชกมา ม่านโดยรอบกระพือขึ้น
ลมพายุกรรโชกใส่หอสังเกตการณ์ หลังคาทะลาย ปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลมกล้า เบื้องบนกลายเป็นเมฆและฟ้าแลบพยัพโพยม เถรกระอำยืนนิ่งพัสตราปลิวไสว นางผัน นางเผื่อนยกมือป้องหน้ายืนชิดฝาผนัง แก้วเกาะเสาเอาไว้ตัวแทบปลิวตามลม ทันใดเปลวไฟในบ่อเพลิงพลันรุ่งโรจน์โชตนา เจิดจ้าขึ้น
ยอดหล้าอยู่กลางไฟ ยกสองมือขึ้นระดับอก พลิกดู เกิดความรู้สึกประหลาดทั่วร่าง มวยผมยอดหล้าคลายหลุดออกผมยาวปลิวไปตามแรงเพลิง ยอดหล้าแหงนหน้าเอาสองมือลูบไล้ผิวหน้า ตามแขน ตัว คล้ายอาบเปลวไฟ เถรกระอำยิ้มอย่างภาคภูมิ แก้วทั้งอัศจรรย์ ทั้งหลงใหล ทั้งเกิดอาการใฝ่ฝันบางอย่าง
กองไฟลดระดับวูบลงแล้วดับวูบเหลือยอดหล้ายืนเปลือยเปล่ามีเส้นผมยาว คลุมปิดทรวงลงมาถึงเท้า
แก้วกราดไปถึงตัวคลี่ผ้าขาวขลิบทองออกคลุมตัว ยอดหล้าตวัดกระชับกาย หน้าตาสดใส เกาะแขนแก้วเดินลงจากบ่อเพลิง แก้วเกิดความรู้สึกภาคภูมิดีใจไปด้วย ยอดหล้ามิได้เผือดซีดเรืองรอง แต่กลับดูมีเลือดเนื้อ เปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวา