บทละครโทรทัศน์ ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 1 หน้า 2
“ชั้นก็อยู่ข้างในแล้ว..”
“งั้นก็เดินเข้ามาเลย...พวกฉันอยู่หน้าบาร์”
ทิวัตถ์วางสาย ก่อนจะเดินงงๆเข้าไปในผับพร้อมกับบ่นพึมพำ “คนละที่รึเปล่าว่ะ..”
ภายในผับ..เป็นโซนแนวเพลงแจ๊ส มองเห็นนักเที่ยวแต่ละคนค่อนข้างรุ่นใหญ่จนทิวัตถ์ไม่แน่ใจ ตัดสินใจเดินเข้าไปถามพนักงานที่เคาน์เตอร์บาร์ “ขอโทษนะครับ”
“รับอะไรดีคะ.. ?”
“เอ่อ..ผมแค่อยากถามว่า โรงแรมนี้ มีผับที่ชื่อ..”
ยังไม่ทันพูดจบ กระบอกเขย่าค็อกเทลที่วางอยู่มุมบาร์ก็ร่วงหล่น !
“อุ้ย ! แป๊บนึงนะคะ..” พนักงาน รีบก้มไปเก็บของ
ในขณะที่ทิวัตถ์ยืนรอ..เสียงดนตรีเพลง “ความทรงจำสีจาง” กำลังเริ่มบรรเลง ทิวัตถ์ได้ยินเสียงของผู้หญิงก็พูดขึ้นบนเวทีที่กำลังมืดสนิท โดยที่ยังไม่เห็นตัวคนพูด “สิ่งที่ทำให้พวกเรารู้ว่าเราเป็นใครในวันนี้...บางคนอาจจะเรียกว่าอดีต...แต่ของลิน ...ลินเรียกมันว่า...ความทรงจำ”
ทิวัตถ์ชะงักกับคำพูดของผู้หญิงคนนั้นจนต้องหันกลับมามอง ระหว่างนั้นเสียงขับร้องก็ดังขึ้น “ความรักเอย...เจ้าลอยลมมาหรือไร” แสงไฟบนเวทีสว่างขึ้นจับไปที่นักร้องสาวในชุดสีแดงเพลิง ยืนหันหลังเด่นตระหง่านอยู่บนเวที หญิงสาวค่อยๆ หมุนเปิดตัวมา ทุกคนในที่นั้นต่างเหมือนต้องมนต์สะกดรวมทั้งทิวัตถ์
“มาดลจิต ดลใจ เสน่หา“ ลิลินหลับตาร้องเหมือนกำลังจมดิ่งกับความทรงจำของเธอ ก่อนที่ลิลินจะลืมตาขึ้นแล้วเห็นทิวัตถ์อยู่ตรงหน้า ทั้งสองสบตากันไปพร้อมกับเพลงที่ลิลินขับกล่อม สายตาและน้ำเสียงของลิลินทำให้ทิวัตถ์เหมือนตกหลุมรักลิลินทันทีตั้งแต่แรกเห็น
พนักงานเก็บของเสร็จ เดินมาหา “ขอโทษค่ะ..เมื่อกี้จะถามอะไรนะคะ..”
ทิวัตถ์หันกลับไป “เอ่อ.. ..น้ำมะนาวแก้วนึงก็ได้ครับ..”
พนักงานยิ้มให้ก่อนลงมือทำ ทิวัตถ์รีบหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่แล้วก็เห็นบริกรคนนึงก็เข้ามาหาลิลิน พร้อมกับยื่นกระดาษโน้ตให้ หญิงสาวเปิดออกดูก่อนจะมองไปยังโต๊ะที่อยู่มุมหนึ่ง
ทิวัตถ์มองตามสายตาของลิลิน เห็นชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนพวกมีอิทธิพลกำลังยกมือทักทายลิลิน
ทิวัตถ์มองไปก็เห็นลิลินส่งยิ้มให้กับชายคนนั้น..เกิดความรู้สึกไม่ค่อยพอใจขึ้นมาทันที
“ได้แล้วค่ะ” พนักงานส่งแก้วน้ำมะนาวให้
ทิวัตถ์หันมารับแก้ว ก่อนหันกลับไปมองอีกครั้งอย่างอย่างผิดหวัง
ส่วนทางด้านผับบน อนันยชเต้นอย่างคึกคัก
ศักดิ์สิทธิ์กำลังมองซ้ายมองขวา สงสัยว่าทำไมทิวัตถ์ยังไม่มาซักที “นี่ก็นานแล้วนะเว้ย ทำไมไอ้วินยังไม่เข้ามาอีก”
“หรือว่า มันจะไปผิดโรงแรมวะ” อนันยชหัวเราะ