บทละครโทรทัศน์ คุ้มนางครวญตอน 7 หน้า 2

3 กุมภาพันธ์ 2557 ( 17:43 )
1.2M
ด้วยความเหนื่อยอ่อน ตรีภพเผลอหลับคอพับอยู่กับโซฟา ขวดเบียร์หล่นจากมือกระทบพรม ตรีภพสะดุ้งตื่นขึ้น มองดู
รอบๆตัว “เฮ้ย หลับไปได้ยังไงวะ” ตรีภพมองดูรอบๆห้องก็แปลกใจที่ไม่เห็นมาลาริน ตรีภพลุกขึ้น
“คุณลินซี่ครับ คุณลินซี่”
ตรีภพเดินตัดห้องโถง ไปยังห้องนอนของมาลาริน เห็นประตูเปิดแง้มอยู่ มีเสียงเพลงเบาๆ ตรีภพลังเลแล้วเคาะประตู
“คุณลินซี่ครับ คุณลินซี่” ตรีภพลังเลแต่นึกถึงที่บีบีฝากให้ดูแล เลยตัดสินใจผลักประตูเข้าไป ตรีภพคว้ารีโมท
เครื่องเสียงปิดเพลง ทำให้ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำ ควันน้ำร้อนฟุ้งออกมาจากห้องน้ำ ตรีภพลังเล แต่อีกใจก็กลัวจะเป็น
เรื่องร้าย จึงก้าวไป พบว่าประตูห้องน้ำเปิดแง้มอยู่ ตรีภพลังเลอีกหนึ่งหน “คุณลินซี่ครับ”
ตรีภพมองเข้าไป ท่ามกลางควันจากไอน้ำร้อน มาลารินเปลือยเปล่า คล้ายกับเป็นลมแล้วไถลเลื่อนจมลงในอ่าง ตรีภพ
พรวดเข้าไป ตวัดผ้าเช็ดตัวมาคลุม อุ้มร่างมาลารินขึ้น มาลารินสำลักกระอักกระไอ ตรีภพใจชื้นขึ้น อุ้มออกมาวางบนเตียง
น้ำหนักตัวทำให้ล้มลงเกือบจะทาบทับ มาลารินกลับมองตาแป๋ว ปากเผยอ ไม่ได้มีอาการเฉียดตาย ตรีภพเองก็อึ้งไป รีบขยับลุกขึ้น
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
มาลารินเอามือจับผ้าเช็ดตัว ป้องกายไว้หมิ่นเหม่
“ลินซี่แช่น้ำ แล้วก็หน้ามืดจมน้ำค่ะ ดีนะคะที่คุณตรีมาช่วยลินซี่ไว้”
ตรีภพขยับถอยมา หันข้างให้ “เอ้อ คุณลินซี่แต่งตัวก่อนดีกว่าครับ”
มาลารินหน้าแดง กัดริมฝีปากตัวเอง ขยับตัวลุกขึ้น
“ลินซี่อายจังเลยค่ะ ไม่เคยอายอะไรอย่างนี้เลย”
“โธ่ อย่าคิดมากครับ ผมไม่ได้เห็นอะไรซักหน่อย”
มาลารินมองตรีภพ มือจับผ้าเช็ดตัว แล้วหันรีหันขวาง จากนั้นก็สะดุดขาตัวเองล้มผวาเข้าในอ้อมอกตรีภพ ที่หันมารับไว้ทัน
ผ้าเช็ดตัวหลุดลงกองกับพื้น เหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า มาลารินเงยหน้าดูตรีภพ มีแววขลาดอาย ยวนยั่ว ตรีภพเริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อ
ครึ่งเรื่องหน้ามืด
“คุณตรี”
ตรีภพรวบรวมสติ พยายามมองสูง
“ผมไปก่อนดีกว่า”
ตรีภพแกะมือมาลารินออก หันขวับเดินออกไป มาลารินผิดหวังนิดหน่อย แต่ไม่ยอมแพ้ สวมเสื้อคลุมบางเบาเดินตามออกมา
เห็นร่างสูงยืนก้มหาของอยู่ในตู้เย็น มาลารินเข้าไปโอบกอดจากด้านหลัง เอาอกเบียด
“คุณตรี คุณช่วยชีวิตลินซี่ไว้ ขอบคุณมากนะคะ”
‘ตรีภพ’ ตัวแข็ง มาลารินยิ้มในหน้า หลับตาถูไถตัว ร่างนั้นหันมา มาลารินแหงนเงย เผยอปาก ร่างนั้นหันมาจูบปากบดขยี้
มาลารินพอใจ
“คุณตรี คุณตรีขา”
“อืมม์”
มาลารินชะงัก ลืมตา เห็นว่าชายในอ้อมกอดคือราเชนทร์ก็เบิกตากว้าง ขยับถอยออก
“โอ ชิท แดมน์”
มาลารินขยับถอย ท่าทางกลายเป็นนางร้าย แม้กระทั่งเสียงไร้เดียงสาก็หายไปหมด ราเชนทร์ยิ้ม มองอย่างขบขัน แล้วบีบเสียง
“คุณตรีขา คุณตรี คุณตรีของยู วิ่งหน้าซีดตาเหลือกลงลิฟต์ไปแล้ว ท่าทางเหมือนเห็นผี”
“ไม่ใช่ผีหรอก เห็นอย่างอื่น”
มาลารินคว้าขวดไวน์มารินดื่ม เดินไปนั่งไขว่ห้าง ชุดแหวกสูง ท่าทางนางร้ายเต็มสูบ
“นี่ยูหลอกมันมาปล้ำหรือ”
“เปล๊า แค่ฉายทีเซอร์หนังตัวอย่างให้ดู แต่ถ้าได้ก็ดี”
ราเชนทร์มานั่งใกล้อย่างคนคุ้นเคย
“ไอ้พระเอกนี่ มีแฟนแล้วนี่ เธอจะแย่งแฟนคนอื่นอีกหรือ”
“แย่งมาทำบ้าอะไร แค่ขอยืมชั่วคราว ซักเดือนสองเดือน”
“อ๋อ แค่แก้คัน”
มาลารินยิ้มรับเหมือนเป็นคำชม หันมาหาราเชนทร์ หูตาเริ่มพราวขึ้น
“วันนี้อ่านบท เหนื่อยเหมือนจะตาย นวดให้หน่อยซี”
มาลารินหันหลังให้ราเชนทร์นวดต้นคอ ไหล่ มาลารินเริ่มคราง เลื่อนเสื้อให้ตกจากไหล่
“โอว์ อุ๊ว์”
“นี่ยูเมื่อยหรือว่าคันกันแน่”
มีร่างหนึ่งถือมือถือ ย่องดอดมา โผล่ไชด์บอร์ด ถ่ายรูป และคลิปทั้งสองไว้ มือไม้สั่น ราเชนทร์มอง
“อ้าว อีเจ๊ ทำอะไร”
บีบีลืมตาโพลง ก้าวมาเท้าสะเอว “ว้าย ไอ้เชน ทำไมเป็นแกยะ”
“นังนี่ทำไก่ตื่น วิ่งโร่หนีไปแล้ว”
“ตื่นเติ่นอะไร ยิ่งเล่นตัวซีดี ยิ่งสนุก” มาลารินลุกขึ้น “ไปเหอะ ไปนวดต่อในห้องดีกว่า”
มาลารินจูงราเชนทร์ไปยังห้องนอน บีบีมองตามแล้วเชิดใส่
“หวังฟันพระเอก ลงท้ายได้แค่ผู้ร้ายปลายแถว เชอะ อีปลวก”
Page more...
บนกุฏิแบบเรือนไม้เล็กๆ หลวงตาท่าทางสมถะ นั่งบนอาสนะแบนๆ มองมาอย่างปราณี จันทรา ตรีภพ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน ก้มลง
กราบแล้วเงยหน้าขึ้น พิมพ์ดาวมองตรีภพอย่างหมั่นไส้ พึมพำเบาๆ “สร้างภาพ”
“นี่ใครล่ะ โยมจันทรา ลูกชายหรือลูกเขย”
“ไม่ใช่ค่ะ อาตมา เอ๊ย พระคุณเจ้า” พิมพ์ดาวตกใจ
จันทราเซ็งลูกสาว “เพื่อนของลูกสาวค่ะ หลวงพ่อ”
“แต่สนิทกันเหมือนลูกชาย หรือลูกเขยค่ะ หลวงตา” พิมพ์เดือนผู้สนิทสนมกับหลวงตาพูดเล่น
หลวงตายิ้มนิดๆ “คนเราเวียนว่ายตายเกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน ท่านว่าไม่มีใครเลยที่ไม่เคยเกิดมาเป็น
ญาติกัน”
พิมพ์ดาวย่นจมูกไม่เชื่อ หลวงตามองตรีภพ จันทรา
“อย่างคุณโยมกับหนุ่มนี่ อาจเกิดเป็นคู่แม่ลูกกันเมื่อชาติก่อน”
“ก็ดีซีคะ”
“ทุกสิ่งเกิดมาแต่เหตุ กฎแห่งกรรมมีเหตุและผลเสมอ แม้จะผูกพันกันเท่าใดก็ต้องรู้ว่าทุกสิ่งล้วนย่อมเปลี่ยน
แปร ไม่มีสิ่งใดที่เราควรยึดมั่นถือมั่น
“เจ้าค่ะ ตอนนี้ก็ปล่อยๆไปได้หลายอย่างแล้วค่ะ”
พิมพ์ดาวเริ่มยุกยิก หลวงตามอง “หนูท่าจะรำคาญเต็มทีแล้ว”
“ไม่ใช่นะคะ อาตมา เอ๊ย หนูแค่เป็นห่วงปลาค่ะ”
“อุ๊ยตาย ลืมไปเลย ไป รีบไปปล่อยก่อนลูก”
“ไปยายเดือน”
“ไม่ไปค่ะ แดดร้อน พี่พิมพ์ไปกับพี่ตรีเถอะค่ะ”
พิมพ์เดือนชงให้ พิมพ์ดาวมองอย่างอาฆาตน้อง ตรีภพยิ้มกริ่ม พิมพ์ดาวถลึงตาใส่ แล้วเบือนหน้ามาเห็นหลวงตามองดูอยู่ก็หด รีบทำ
เสงี่ยม ตรีภพกลั้นหัวเราะ
ปลาดุก ปลาช่อน อย่างละ 10 กว่าตัวถูกเทจากถุงพลาสติกใหญ่ลงในน้ำ มันแหวกว่ายอย่างดีใจ พิมพ์ดาวกับตรีภพยืนขึ้นมองดู
ปลาหลายตัวยังลอยตัวเหมือนมองดูทั้งคู่
“มองอะไร ไปได้แล้ว”
พิมพ์ดาวสุขใจจนหน้าเปล่งปลั่ง ตรีภพมองดู เห็นความงามสดใสนั้น
“โอโฮ ได้บุญทันตา ท่าทางคุณมีความสุขมาก”
“ไม่รู้ ฉันชอบปล่อยปลา ฉันชอบตอนมันมองหน้าขอบคุณแบบเมื่อกี้”
“ท่าทางคุณเป็นพวกชอบทำบุญกับสัตว์ คนพิการ เด็กกำพร้า แต่ไม่ชอบทำกับพระใช่ไหม”
พิมพ์ดาวชะงัก “แล้วทำไม”
“ไม่ทำไม แต่คนรุ่นใหม่เป็นอย่างงี้กันเยอะ บอกว่าข่าวแย่ๆของพระสมัยนี้ทำให้เสื่อมศรัทธา”
“ฉันไม่ได้เสื่อมศรัทธาอะไรหรอก แต่ฉันเห็นว่าคนทำบุญกับพระเยอะแล้ว พวกสัตว์พิการเด็ก
ยากจนไม่ค่อยมีคนทำต่างหาก”
“ก็เขาเชื่อว่าทำบุญกับพระได้บุญมากกว่าไงครับ”
“ฉันว่าคนที่ทำบุญมัวแต่หวังได้กำไรให้เยอะที่สุดนี่ ถือว่าโลภ จัดว่าเป็นบาปเหมือนกัน”
“ไม่มีพระวัดไหนมาสอนแบบที่คุณว่าหรอกฮะ”
ตรีภพรู้สึกยิ่งใกล้ชิดและรื่นรมย์ใจ พิมพ์ดาวเองก็รู้สึก แต่แล้วก็นึกได้ว่าชักสนิทเกิน
“นี่ ไม่ต้องมาตีซี้กับฉันมาก กลับกันได้แล้ว”
“ผมมาตีซี้อะไรคุณ นี่ผมมาทำบุญต่างหาก”
พิมพ์ดาวเชิดใส่ เดินมาก่อน ตรีภพเดินตาม
เมื่อพิมพ์ดาวออกไปปล่อยปลากับตรีภพ จันทราก็สบโอกาสที่จะปรึกษาหลวงตาเรื่องผู้หญิงที่เห็นในสมาธิ แต่ไม่อยากให้พิมพ์เดือนรู้
จึงใช้ให้พิมพ์เดือนไปเอาน้ำมนต์ที่วิหาร
“พูดมาเถอะโยม”
“หลวงตาเจ้าคะ ดิฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในสมาธิ เหมือนเป็นเจ้านางทางเหนือโบราณ ดิฉันสังหรณ์ว่า เขามีเรื่องเคียดแค้นยายพิมพ์ดาวอยู่”
“จะอะไรเล่า ก็เรื่องผูกพยาบาทกันข้ามภพข้ามชาติ”
“นี่ยายพิมพ์ก็จะต้องไปถ่ายละครทางเหนือ ดิฉันคิดว่า เขารอยายพิมพ์อยู่ที่นั่น”
“โยมไม่อยากให้ลูกไปล่ะซี”
“ดิฉันสองจิตสองใจเจ้าค่ะ ใจหนึ่งก็อยากห้ามลูกไม่ให้ไป แต่แกจะเสียงาน แต่อีกใจก็คิดว่าอะไร
จะเกิดมันก็เกิด.. เมื่อเวลาของมันมาถึง”
หลวงตายิ้มน้อยๆ พยักหน้า “ใช่โยม ในโลกนี้ไม่มีอะไรขวางกฎแห่งกรรมได้”