บทละครโทรทัศน์ คุ้มนางครวญตอน 6
คุ้มนางครวญ ตอนที่ 6
บทประพันธ์ดัดแปลงจากบทประพันธ์ เรื่อง คุ้มนางครวญ ของ สรรัตน์ จิรบวรสุทธิ์
บทโทรทัศน์วิสุทธิชัย บุณยะกาญจน
ยอดหล้ายืนนิ่งเหนือผาน้ำตก ใบหน้าขาวซีด ดวงตาสับสน ลมพัดผ้าคล้องคอปลิวตกลงในธารน้ำเบื้องล่าง
ผ้านั้นถูกน้ำวนดูดวูบหายไป ยอดหล้ายิ้มเยาะตนเองแล้วขยับเท้าก้าวไป ร่างหล่นวูบลงจากผา ดวงหน้า
ขมขื่นรวดร้าว เคียดแค้น ระคนกัน ผมสยายไปในอากาศ ยอดหล้าหวนนึกถึงตอนที่ หลวงเทพประคองตน
ที่น้ำตกแล้วได้แต่ยิ้มเศร้า ภาพในเรือบนแม่น้ำปิง หลวงเทพพูดบทกลอนย้อนกลับมาให้เห็น ยอดหล้ายิ้ม
ขมขื่น ครั้นหวนคิดถึงตอนเล่นซึงกล่อมหอ หลวงเทพ ดารารายตระกองกอดกัน ยอดหล้าก็พลันเคียดแค้น
แสนสาหัส
ร่างยอดหล้าร่วงลงไปกึ่งกลางความสูงของผา ใกล้จะตกกระแทกในวังน้ำและโขดหินเบื้องล่าง ทันใดมีกระแส
พลังหนึ่งแผ่มาจากผาน้ำตก เข้าปะทะยอดหล้า ยอดหล้าผวา พบว่าตนเองลอยอยู่กลางอากาศ เสียงกังวาน
เปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้นจากผาน้ำตก
“ชีวิตเป็นของมีค่ายิ่ง เจ้านางน้อย”
ยอดหล้าพิศวงงงงวย “นี่อะไร ผู้ใดกลั่นแกล้งข้า”
“เจ้าต่างหากที่กลั่นแกล้งทำร้ายตนเอง”
“ท่านเป็นใคร ท่านอยู่ตรงไหนกัน”
“ข้าอยู่นี่ เจ้านางน้อย”
ยอดหล้ามองไปแล้วตกตะลึง เมื่อสายน้ำตกตรงหน้า คล้ายมีร่างหนึ่งอยู่ด้านหลัง ร่างนั้นคล้ายก้าวมาจากม่าน
น้ำตก จนพ้นสายน้ำออกมา ร่างนั้นเป็นชายหนุ่มรูปงาม สูงใหญ่ ดวงตาเจิดจ้า แต่เปี่ยมด้วยเมตตา ท่อนล่าง
นุ่งผ้าคล้ายหยักรั้งสีขาว แต่คลุมร่างด้วยผ้าขาวผืนใหญ่คล้ายนักบวช ทั้งร่างนั้นแห้งสนิท ไม่เปียกน้ำแม้แต่น้อย
ยอดหล้าเบิกตากว้าง นักบวชรูปงามนั้นยิ้มอย่างการุณย์ ยื่นมือมา ยอดหล้าลังเลนิดหนึ่ง แล้ววางมือลงในมือ
ชายผู้นั้น นักบวชกุมมือยอดหล้าไว้ แล้วหมุนกายดึงยอดหล้าเข้าสู่สายน้ำตก ร่างทั้งคู่กลืนหายไปในสายน้ำ
หลังม่านน้ำตกเป็นถ้ำขนาดไม่ใหญ่นัก เถรกระอำจูงมือยอดหล้าก้าวผ่านสายน้ำเข้ามา แต่ร่างของทั้งคู่กลับ
แห้งสนิท เถรกระอำพายอดหล้าก้าวลงบนพื้นหิน แล้วก้าวนำไป ยอดหล้ายังคงพิศวงมองดูรอบกาย เอามือ
ยื่นระสายน้ำ มือก็เปียกปอน เถรกระอำลงนั่งขัดสมาธิบนแท่น ยอดหล้าทรุดลงกราบกับพื้น แล้วเงยหน้าขึ้น
น้ำตาริน “ท่านอาจารย์ ท่านขัดขวางข้าทำไมเจ้า”
“ชีวิตนี้สั้นนัก ใยต้องตัดรอนมันอีกเล่า”
“แต่ชีวิตข้าไม่เหลือแล้ว คนที่ข้ารักยิ่งชีวิตกลับทอดทิ้ง แปรใจไปจากข้า”
เถรกระอำยิ้มนิดหนึ่ง “คู่หมั้นของเจ้าหาได้แปรใจไปจากเจ้าไม่ จงดูเองเถิด”
เถรกระอำ ยื่นมือมาโบกเหนือกระถางไฟที่ตั้งอยู่ด้านหน้า ไฟที่ลุกโพลงอยู่พลันเปลี่ยนสี ยอดหล้าตกตะลึง
ในเปลวไฟ ปรากฏภาพครูบาสรีร่ายเวทย์ แล้วเลื่อนไปเป็นภาพดารารายอาบน้ำมันว่าน แล้วเลือนเป็นภาพ
หลวงเทพถูกสะกดลุกขึ้น ยอดหล้าเบิกตากว้างผงะ ไฟนั้นเปลี่ยนเป็นปกติ
“น้องข้าให้ครูบาสรีทำเสน่ห์อย่างงั้นหรือ”
“อำนาจอาคมนั้น ครอบคลุมทั้งกายและจิตของคู่หมั้นเจ้า”
ยอดหล้าหายขมขื่น ใจชื้นขึ้นเมื่อรู้ว่าหลวงเทพไม่ได้สิ้นรัก
“พี่เทพ พี่ไม่ได้หมดรักข้า”
“แต่สิ่งหนึ่งที่แม้แต่น้องเจ้าก็ไม่รู้คือ อำนาจมนต์เสน่ห์นั้นแรงกล้า หลวงเทพจักหมกมุ่นเมามัวอยู่ในกามคุณ”
เถรกระอำโบกมืออีก ไฟนั้นพลันเปลี่ยนสี ภาพในเปลวไฟ เป็นภาพเตียงในเรือน หลวงเทพกอดจูบซุกไซ้
ดาราราย ดารารายแหงนเงยหน้า หัวเราะระริก หลวงเทพเงยหน้าขึ้นมองดารารายอย่างลุ่มหลง เห็นใบหน้า
ที่ทรุดโทรมขอบตาคล้ำ แก้มตอบ แล้วมีใบหน้าปีศาจร้ายซ้อนวูบขึ้น
ยอดหล้าผงะ เถรกระอำถอนใจ ยอดหล้ามองต่อไป ภาพในเปลวไฟ กลายเป็นภาพของหลวงเทพนอนอยู่
คนเดียวบนพื้นเรือน ใบหน้าผอมซูบจนเหลือแต่หนังหุ้มกะโหลก ตัวผอมบางแทบติดกระดาน แต่ยังกระสับ
กระส่าย ปากเรียกชื่อดารารายอยู่ตลอดเวลา ดารารายก้าวมามองดูหลวงเทพอย่างขยะแขยง หลวงเทพเห็น
ก็ไขว่คว้า ดารารายขยับหนี หลวงเทพคว้า กอดเท้าไว้ ร่ำร้องเรียกชื่อ พร่ำบอกรัก ดารารายชักเท้าหนี
หลวงเทพไขว่คว้า ดารารายสะบัด หลวงเทพผงะหงายไปชนตั่ง เลือดไหลพรูจากปาก จมูก แล้วภาพเลือน
ไปในเปลวไฟ ยอดหล้ายกมือปิดปาก ดวงตาเบิกกว้าง ตัวสั่นเทา แล้วเงยหน้ามองเถรกระอำ
“พี่เทพ พี่เทพ ข้าจะไปช่วยพี่เทพ”
“เจ้ายังมีเวลาถึง 12 ดวงเดือน ภาพที่เจ้าเห็นยังไม่ได้เกิดขึ้น”
“แต่ข้ารอไม่ได้”
เถรกระอำดวงตาเป็นประกาย
“ผู้จะทำการใดให้สำเร็จ ผู้นั้นต้องรู้จักรอ รอจนกว่าจะพร้อม รอจนกว่าการณ์นั้นจะสุกงอม”
“ท่านให้ข้ารออันใด”
“อาคมของครูบาสรีแรงกล้าอำมหิต เจ้าจะต้องมีวิชาติดตัวจึงจะล้างอาคมนั้นได้”
“แล้วจะทำเช่นไร ข้ามิได้เป็นผู้วิเศษเช่นท่าน”
“ข้ามิได้เกิดมาเป็นผู้วิเศษ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการเรียนรู้และฝึกฝน”
“ถ้าเช่นนั้น ได้โปรดสอนข้าด้วย ข้าจักเรียนรู้และฝึกฝน ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด ข้าจักไม่ย่อท้อ
ท่านอาจารย์”
เถรกระอำมองอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วยิ้มน้อยๆ พยักหน้า ยอดหล้ายิ้มตอบแล้วก้มลงกราบ