บทละครโทรทัศน์ นายฮ้อยทมิฬ ตอน 23
บทประพันธ์ โดย คำพูน บุญทวี บทโทรทัศน์ โดย แพรพริมา
ที่พักแรมริมแม่น้ำชี บรรยากาศสนุกสนานของกลุ่มชาวทัพควาย ที่กำลังร้องรำทำเพลงพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ จากการช่วยกันบรรเลงเครื่องดนตรีอีสานด้วยฝีมือ 3 เฒ่ากับเพลง ‘เต้ยต๋อหัวใจ’ ขับร้องโดยบัวเขียว ชาวทัพควายออกมาเซิ้งมารำม่วนซื่น เฮฮา เพราะบัวเขียวเป็นดาวในหมู่ชายหนุ่ม ที่แข่งกันเข้ามาเซิ้งเกี้ยวขอเซิ้งขอรำคู่กันใหญ่ สีโหออกอาการปลื้มอกปลื้มใจบัวเขียว ทั้งคู่ส่งยิ้มหวานให้กัน 3 เฒ่าพยายามจะเข้าไปเซิ้งเกี้ยวบ้าง แต่สีโหเข้าไปเบียดแล้วยึดบัวเขียวมาเซิ้งใกล้ๆ ตัวคนเดียว เลยเป็นที่โห่ ฮาปากและอิจฉาของบรรดาชาวทัพควาย บักมืดที่ยืนดูอยู่ห่างๆ เห็นภาพความรักความสมหวังของบัวเขียวกับสีโหก็ออกอาการน้ำตาเล็ด เสียใจ พอๆ กับอาการหัวแตกที่ยังเจ็บๆ อยู่ บักมืดปาดน้ำตาที่กำลังไหลออกมา แล้วถอยออกไปอย่างน่าสงสาร บัวเขียวหันมาเห็นบักมืด เดินคอตกเศร้าสร้อยออกไปก็อดเป็นห่วงไม่ได้
มุมหนึ่งที่กองเกวียน บักมืดมานั่งเศร้าน้ำตาไหล ในมือปั้นข้าวเหนียวจากกระติ๊บน้อยๆ กินไปทั้งน้ำตา บัวเขียวตามเข้ามาเห็นมืดกินข้าวเหนียวเปล่ากับน้ำตาก็อดสงสารไม่ได้
“อ้าย…กินข้าวในดอกจังซั่น มันสิแซ่บได้จังได๋ ไปกินนำกับหมู่เฮาพู้นเถาะ มีแนวกิน แซ่บๆ หลายอย่างเลย”
มืดชะงักเมื่อได้ยินเสียงบัวเขียวเลยรีบปาดน้ำตา ทำเป็นเข้มแข็ง
“บ่เป็นหยังดอกบัวเขียว..อ้ายมักกินข้าวในดอกจังซี้แหละ แซ่บแล้ว”
“คั่นมันสิแซ่บอย่างอ้ายว่า..ก็ย่อนว่าได้น้ำตาคลุกข้าวนำ..ข้อยเว้าแม่นบ่”
มืดชะงัก ไม่คิดว่าบัวเขียวจะรู้ บัวเขียวขยับเข้ามาใกล้อย่างสงสารมืด มืดถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ปล่อยให้ไหล ออกมาอย่างน่าสงสาร..สะอื้นเบาๆ
“ข้าวคลุกน้ำตานี่ล่ะเหมาะกับอ้ายแล้ว ก็ในเมื่อฮักบ่มีคู่หยอก ก็เอิ้นว่าฮักในดอกคือกัน ล่ะบัวเขียวเอ้ย”
“โธ่….อ้าย..ข้อยขอขมาเด้อ”
“บ่ได้ๆๆ เจ้าสิมาขอขมาอ้ายได้จังได๋ล่ะ เจ้าบ่ได๋เฮ็ดหยังผิดจักหน่อย”
“คั่นบัวเขียวบ่ได้เฮ็ด จังซั่นก็ข้อยนี่แหละที่เฮ็ด” บัวเขียวกับมืดชะงัก หันมาเห็นสีโหตามเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง
“บักมืด..ข้อยป๋าให้เฮาผิดใจกันมาโดนแล้ว มื้อนี่ข้อยขอขมาเจ้าในฐานะที่เฮาเป็นเสี่ยว กันมาตั้งแต่น้อย แต่ข้อยกลับบ่ฮู้โตเลย ว่าเจ้าก็ฮักบัวเขียวคือกัน ย่อนว่าข้อยคึดฮอด แต่ความสุขโตเอง..กว่าสิฮู้ว่ากำลังสิเสียหมู่..ก็สายไปแล้ว” สีโหตัดสินใจคุกเข่าลงตรงหน้าบักมืด ทำเอาบักมืดตกใจ “ยกโทษให้ข้อยเด้อเสี่ยว”